นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ในฐานะเป็นประธานเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Opinion Hearing) งานศึกษาทบทวนความเหมาะสม และจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ นั้น
ที่ผ่านมากทพ.ได้มีการเปิดประมูลโครงการทางด่วนกะทู้-ป่าตอง ระยะที่ 1 จังหวัดภูเก็ต ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร แต่พบว่าไม่มีเอกชนรายใดยื่นประมูล เนื่องจากเอกชนเล็งเห็นว่าผลตอบแทนที่คาดหวัง (Retune) ไม่ถึง 10% ทำให้ไม่เกิดการจูงใจให้เอกชนลงทุน เพราะต้องแบกรับค่าก่อสร้างเอง
ทั้งนี้ทั้ง 2 โครงการ เบื้องต้นกทพ.จะเปิดประมูลให้เอกชนลงทุนติดตั้งงานระบบบำรุงรักษา (O&M) และระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง วงเงินรวม 27,030 ล้านบาท แบ่งเป็น
ด้านค่าก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง ระยะที่ 1 วงเงิน 712 ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง ระยะที่ 2 วงเงิน 1,518 ล้านบาท ขณะที่งานระบบบำรุงรักษา (O&M) ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี รวมทั้ง 2 โครงการ วงเงิน 24,800 ล้านบาท
ส่วนกทพ.เป็นผู้ลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธาทั้ง 2 โครงการเอง ปัจจุบันกระทรวงการคลังเห็นชอบโครงการทางด่วนกะทู้-ป่าตอง ระยะที่ 1 คาดว่าจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเพื่อประมูลหาผู้รับจ้างก่อสร้างภายในปีนี้ ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี ก่อนเปิดให้บริการต่อไป
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่โครงการทางด่วนกะทู้-ป่าตอง ระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ จังหวัดภูเก็ต ระยะทาง 30.62 กิโลเมตร
ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมายคาดว่าตามแผนจะเสนอครม.ภายในปลายปี 2568 และเปิดประมูลเพื่อดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 2569 ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี พร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2573
“การจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนภาคเอกชน เพื่อทราบถึงความสนใจของนักลงทุน และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุน รวมถึงได้รับข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วน ประกอบการจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
ขณะเดียวกันกทพ. ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต โดยรัฐจะรับผิดชอบงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน กทพ. ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างงานโยธา โครงการระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ สำหรับการก่อสร้างงานระบบ และการบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation & Maintenance: O&M) ของโครงการทั้ง 2 ระยะ เช่น งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง และระบบควบคุมจราจร เป็นต้น
อย่างไรก็ดีกทพ. ได้เห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของเอกชน ดังนั้น จึงได้เปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ โดย มูลค่าเงินลงทุนโครงการ ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ค่าก่อสร้างงานโยธา (รวมค่าควบคุมงานก่อสร้าง) และค่าก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมจราจร (งานระบบ) ของโครงการ ระยะที่ 1 รวมประมาณ 16,759 ล้านบาท
ส่วนโครงการ ระยะที่ 2 รวมประมาณ 45,930 ล้านบาท โดยค่าก่อสร้างงานระบบของโครงการทั้ง 2 ระยะ รวมประมาณ 2,230 ล้านบาท และค่าดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทั้ง 2 ระยะ (ระยะเวลา 30 ปี) รวมประมาณ 24,800 ล้านบาท
นอกจากนี้ในการเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้พบว่ามีมีเอกชนหลายรายให้ความสนใจกว่า ราย ประกอบด้วย 1.บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM 2.บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 3.บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) 4.บริษัทช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK
5.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)หรือ ITD 6.บริษัทเนาวรัตนพัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR 7.บริษัทยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ 8.บริษัทไชน่าฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนอร์ริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ CHEC 9.บริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
สำหรับการจัดเก็บค่าผ่านทางของโครงการระยะที่ 1 จัดเก็บค่าผ่านทางอัตราเดียว (Flat Rate)มีอัตราค่าผ่านทาง ณ ปีเปิดให้บริการ (ปี 2573) เท่ากับ 15/ 40/ 85/ 125 บาท สำหรับรถจักรยานยนต์/ รถ 4 ล้อ/ รถ 6-10 ล้อ/ รถมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ
นอกจากนี้โครงการระยะที่ 2 จัดเก็บค่าผ่านทางตามระยะทาง (Distance-Based Rate) โดยมีอัตราค่าแรกเข้า 40/ 80/ 120 บาท และค่าผ่านทางต่อระยะทาง 1.50/ 3.00/ 4.50 บาทต่อกิโลเมตร สำหรับรถ 4 ล้อ/ รถ 6-10 ล้อ/ รถมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ
ด้านการคาดการณ์ปริมาณจราจร ณ ปีเปิดให้บริการ (ปี 2573) ประมาณ 69,386 คัน/วัน โดยโครงการมีอัตราผลตอบแทนด้านการเงิน (FIRR) เท่ากับ 1.82% และโครงการนี้มีความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ 18.85%
อย่างไรก็ตามโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต นับเป็นทางเลือกในการเดินทางที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรบนถนนเทพกระษัตรี (ทางหลวงหมายเลข 402) และถนนพระบารมี (ทางหลวงหมายเลข 4029) รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการคมนาคมและแก้ไขปัญหาการจราจรในจังหวัดภูเก็ตให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยต่อผู้เดินทางยิ่งขึ้น