นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทรนด์ Digital Nomad หรือบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทำงานผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลก เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์รองรับ รวมถึงมีไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบการเดินทางและใช้ชีวิตในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก กำลังได้รับความนิยมและเติบโต
โดยพบว่าประเทศไทยจะได้อานิสงส์ในการสร้างรายได้จากธุรกิจบริการหลากหลายสาขา เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมามีจำนวน Digital Nomad ทั่วโลกประมาณ 40 ล้านคน
และคาดว่าจะเติบโตเป็น 60 ล้านคน ในปี 2573 โดย Digital Nomad ที่เดินทางมาประเทศไทยในปี 2567 คาดว่ามีจำนวนประมาณ 1.75 ล้านคน
ซึ่ง Digital Nomad ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านไอที การตลาด หรือ E-Commerce และเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว จึงมีส่วนช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของไทย และกลุ่ม Digital Nomad ยังมีลักษณะพิเศษกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป ตรงที่มีระยะเวลาพำนักในไทยเฉลี่ยสูงกว่า 6 เดือน ส่งผลให้มีการใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวโดยทั่วไปที่ 56% อีกทั้งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีฤดูกาลท่องเที่ยวที่ชัดเจนแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป กล่าวคือ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ ข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพบว่า กลุ่ม Digital Nomad ในไทยมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 65,034 บาทต่อคน แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร การเดินทาง และกิจกรรม 33,310 บาทต่อคน และค่าใช้จ่ายสำหรับที่พัก 31,724 บาทต่อคน และกลุ่ม Digital Nomad ยังนิยมเลือกใช้สถานที่ในการทำงานที่ยืดหยุ่น หรือใช้บริการพื้นที่ทำงานร่วมกัน หรือ Co-working Space
นายพูนพงษ์ กล่าวอีกว่า ภาคบริการไทยที่จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากกลุ่ม Digital Nomad จากรายงานของศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประกอบด้วย
“ไทยมีภาคการท่องเที่ยวที่โดดเด่น ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามารวม 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% และสร้างรายได้ 1.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% และยังมีศักยภาพในธุรกิจบริการ ที่ดึงดูดกลุ่ม Digital Nomad มีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และมีมาตรการดึงดูดการท่องเที่ยว และค่าครองชีพที่ได้เปรียบ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad“