ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก หากดูจากรายงานล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบสัญญาณเตือนที่น่ากังวลในคาดการณ์เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ "ชะงักงัน" หรือ Stagnation ในช่วง 7 ปีข้างหน้า (2567-2573)
รายงานฉบับนี้เผยให้เห็นภาพเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพียง 2.6-2.9% เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เพียงพอต่อการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะที่การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง และการลงทุนมีความผันผวนสูง
ที่น่ากังวลกว่านั้น การขาดดุลการคลังต่อเนื่องจะทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 66.4% ของ GDP ในปี 2573 ซึ่งอาจจำกัดความสามารถของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ฐานเศรษฐกิจได้วิเคราะห์รายละเอียดจากรายงานฉบับนี้ เพื่อเผยให้เห็นความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญในระยะยาวในแต่ละด้าน ดังนี้
IMF คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย (Real GDP growth) จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและทรงตัว โดยจะเติบโต% 2.7 ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น% 2.9 ในปี 2568 ก่อนจะลดลงเหลือ% 2.6 ในปี 2569 และกลับมาทรงตัวที่% 2.7 ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2570 ถึง 2573 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพการเติบโตในอดีตของประเทศไทย
ช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ในปี 2562 เศรษฐกิจไทยเติบโต% 2.1 ก่อนที่จะหดตัวอย่างรุนแรงถึง% 6.1 ในปี 2563 และฟื้นตัวในอัตราที่ชะลอตัวที่% 1.6, 2.5 และ 1.9 ในปี 2564, 2565 และ 2566 ตามลำดับ
การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จาก% 4.3 ในปี 2567 เป็น% 4.0 ในปี 2568 และลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง% 2.9 ในปี 2569 ก่อนจะลดลงอีกเป็น% 2.1 ในปี 2570 และค่อยๆ ฟื้นตัวเล็กน้อยเป็น% 2.6 ในปี 2573
ส่วนการลงทุนถาวร (Gross fixed investment) มีความผันผวนมากกว่า โดยคาดว่าจะชะลอตัวเหลือเพียง% 0.1 ในปี 2567 ก่อนจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเป็น% 4.1 ในปี 2568 แต่จะกลับมาชะลอตัวอีกครั้งเหลือ% 2.1 ในปี 2569 และทรงตัวที่ประมาณ% 1.8-2.5 ในช่วงปี 2570-2573
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องตลอดช่วงประมาณการ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่เพียง% 0.4 ในปี 2567 และค่อยๆ ปรับตัวขึ้นเป็น% 1.0 ในปี 2568 % 1.3 ในปี 2569 และเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถึง% 1.8 ในปี 2573
เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำที่% 0.6 ในปี 2567 และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น% 1.5 ในปี 2573 ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันด้านราคาที่จะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง
ด้านปริมาณเงินกว้าง (Broad money) คาดว่าจะขยายตัวในอัตราต่ำที่% 2.3-3.8 ในช่วงปี 2567-2573 ขณะที่การปล่อยสินเชื่อภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำมากที่% 0.1 ในปี 2567 และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น% 2.5 ในปี 2573
ดุลการคลังของรัฐบาลทั่วไปคาดว่าจะขาดดุลต่อเนื่องตลอดช่วงประมาณการ โดยจะขาดดุล% 2.2 ของ GDP ในปี 2567 และเพิ่มขึ้นเป็น% 3.6 ของ GDP ในปี 2568 ก่อนจะค่อยๆ ลดลงเหลือ% 2.8 ของ GDP ในปี 2573
ดุลภาคสาธารณะ (Public sector balance) ก็จะขาดดุลต่อเนื่องเช่นกัน โดยจะขาดดุล% 2.3 ของ GDP ในปี 2567 และเพิ่มขึ้นเป็น% 3.8 ของ GDP ในปี 2568 ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเป็นขาดดุล% 2.8 ของ GDP ในปี 2573
ผลของการขาดดุลต่อเนื่องทำให้หนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก% 63.3 ของ GDP ในปี 2567 เป็น% 64.7 ในปี 2568 และเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนถึง% 66.4 ของ GDP ในปี 2573
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัว% 4.6 ในปี 2567 ก่อนจะชะลอตัวลงเหลือ% 2.8 ในปี 2568 และกลับมาขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกันที่ประมาณ% 3.6-4.9 ในช่วงปี 2569-2573 เมื่อพิจารณาในแง่ปริมาณ (volume) การส่งออกจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่า คือประมาณ% 1.9-3.6 ตลอดช่วงประมาณการ
ขณะที่การนำเข้าสินค้าคาดว่าจะขยายตัว% 5.2 ในปี 2567 ชะลอลงเหลือ% 3.5 ในปี 2568 และขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกันที่ประมาณ% 3.7-4.9 ในช่วงปี 2569-2573 โดยในแง่ปริมาณ การนำเข้าจะขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างคงที่ที่ประมาณ% 3.3-3.7 ตลอดช่วงประมาณการ
ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลต่อเนื่องตลอดช่วงประมาณการ โดยจะเกินดุล% 1.8 ของ GDP ในปี 2567 และเพิ่มขึ้นเป็น% 2.2 ในปี 2568 ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง% 2.8 ของ GDP ในปี 2573
ทุนสำรองระหว่างประเทศรวมของไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 254.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 เป็น 262.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และคงที่ในระดับดังกล่าวตลอดช่วงปี 2568-2573
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับการนำเข้า ทุนสำรองจะมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 11.1 เดือนของมูลค่าการนำเข้าในปีถัดไปในปี 2567 เหลือ 8.5 เดือนในปี 2573 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล
ข้อมูลจาก IMF สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะเติบโตในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง (Stagnation) โดยเฉพาะในช่วงปี 2567-2573 ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ% 2.6-2.9 เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพการเติบโตของประเทศ
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีเสถียรภาพในด้านเงินเฟ้อและดุลบัญชีเดินสะพัด แต่การเติบโตในระดับต่ำต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
นอกจากนี้ การขาดดุลการคลังต่อเนื่องยังทำให้หนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจำกัดพื้นที่ทางการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต