คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค

11 ก.พ. 2568 | 14:10 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.พ. 2568 | 14:20 น.

คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA (One Stop Authority) หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค หวังเป็นอาวุธลับดึงเงินทุนต่างชาติ ยกระดับความสามารถทางการเงินของประเทศทั่วโลก ถอดบทเรียน ดูไบ-สิงคโปร์-มาเลเซีย ทำสำเร็จมาก่อน

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็น "ศูนย์กลางการเงินระดับภูมิภาค" (Financial Hub) หลังจากที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อผลักดันไทยขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในเศรษฐกิจโลก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ

การจัดตั้งศูนย์กลางการเงินในไทย ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันกับฮ่องกงและสิงคโปร์ได้ แต่ยังเป็นการวางรากฐานใหม่สำหรับธุรกิจทางการเงินสมัยใหม่ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ ธนาคารพาณิชย์, ธุรกิจหลักทรัพย์, สินทรัพย์ดิจิทัล, ฟินเทค ไปจนถึงธุรกิจประกันภัย 

คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค

สำหรับ ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... ประกอบด้วย 9 หมวด 96 มาตรา และ ยกเว้นกฎหมายเดิม 7 ฉบับ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในด้านการกำกับดูแลธุรกิจทางการเงิน

จุดเด่นของร่าง พ.ร.บ.

  • จัดตั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One-stop Authority: OSA) เป็นหน่วยงานหลัก
  • รองรับธุรกิจการเงินที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กำหนด โดยต้อง จ้างแรงงานไทยในสัดส่วนที่กำหนด
  • กำหนด สิทธิพิเศษทางภาษีและการลงทุน เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่น
  • เปิดทางให้บริษัทการเงินระดับโลกสามารถเข้ามาจัดตั้งสำนักงานหรือสาขาในไทยได้

นอกจากนี้ OSA จะทำหน้าที่พิจารณาใบอนุญาตธุรกิจทางการเงินแบบครบวงจร เช่น ธนาคารพาณิชย์, ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล, การชำระเงินข้ามพรมแดน และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค

ทำไมไทยต้องเร่งเครื่องเป็น Financial Hub?

ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ เมื่อฮ่องกงและสิงคโปร์ครองตลาดการเงินในเอเชีย การเดินหน้าจัดตั้ง Financial Hub ของไทย จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างฐานการเงินใหม่ที่สามารถเข้าถึงตลาด CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) ได้ดีกว่าสิงคโปร์

โดยในปัจจุบันมีหลายประเทศที่มีการจัดตั้งหน่วยงานกลางทางการเงินขึ้นมาเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจการเงินและธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งภายในประเทศ และการลงทุนข้ามชาติ โดยสิงคโปร์ ถือเป็นประเทศที่สำเร็จในด้านนี้อย่างชัดเจนจนกลายเป็นผู้นำด้านฟินเทคและการเงินระดับเอเชีย และเป็น "ศูนย์กลางการเงินระดับโลก" (Global Financial Hub) ที่สามารถดึงดูดการลงทุนอย่างมหาศาล 

โดยสิงคโปร์จัดตั้ง สถาบันการเงินดิจิทัลแห่งเอเชีย (Asian Institute of Digital Finance - AIDF) ขึ้นในปี 2024 โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลการเงินที่แข็งแกร่ง อย่าง ธนาคารกลางสิงคโปร์ Monetary Authority of Singapore (MAS) กำกับดูแล 

ซึ่งการดำเนินการนี้ทำให้เกิดการลงทุนในฟินเทค กว่า 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสถาบันการเงิน กว่า 1,200 แห่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทษ (FDI) ในภาคการเงินและประกันภัย คิดเป็น 54% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด และพวกเขายังใช้นโยบายภาษีที่ดึงดูดนักลงทุน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรที่พร้อมรองรับธุรกิจการเงินระดับโลก ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักลงทุนในภาคการเงิน

คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค

ต่อมาคือ Dubai International Financial Centre (DIFC) ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นหนึ่งใน ศูนย์กลางการเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยใช้โมเดลเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีระบบกฎหมายเป็นอิสระจากกฎหมายของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีการยกเว้นภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อดึงดูดการลงทุน มีศาลเฉพาะของ FIDF ทำให้สามารถสร้างกฎระเบียบที่ดึงดูดธุรกิจการเงินระดับโลกเข้ามาได้

ในปี 2566 มีบริษัทที่จดทะเบียนใน DIFC 5,523 แห่ง เพิ่มขึ้น 26% จากปีที่ผ่านมา รายได้ของ DIFC กว่า 272 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดึงดูดสถาบันการเงินระดับโลก เช่น JP Morgan, Citibank, HSBC, Standard Chartered

คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค

ปิดท้ายด้วย มาเลเซีย มีการตั้งศูนย์กลางการเงินนอกชายฝั่ง Labuan Financial Services Authority (Labuan FSA) ที่เติบโตต่อเนื่อง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเงินนอกชายฝั่ง (Offshore Financial Centre) ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนและธุรกิจการเงินสามารถดำเนินธุรกิจได้ภายใต้กฎหมายที่เอื้อต่อการเติบโต ปัจจุบันมีบริษัททางการเงินกว่า 870 แห่ง มูลค่าทรัพย์สินในระบบการเงิน 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเคยได้ได้รับรางวัล "Best International Jurisdiction for Islamic Banking and Finance 2024"

คลัง ศึกษาตั้งสำนักงาน OSA หน่วยงานใหม่ ดันไทย ‘ฮับการเงิน’ ภูมิภาค