นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การเงินและการค้าระหว่างประเทศ(DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ฉากแรกสงครามการค้าสร้างความไม่แน่นอนต่อระบบการค้าโลกแต่ยังไม่รุนแรงตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเพื่อสร้างอำนาจต่อรองแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริการนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าหลักสามประเทศ แคนาดา เม็กซิโก และจีนที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
การปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 10% และ สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% จะทำให้สหรัฐอเมริกาลดการนำเข้าจากสามประเทศคู่ค้าหลักประมาณ 15% ทำให้การขาดดุลการค้าอาจดีขึ้นทันทีในระยะสั้น และสามารถเพิ่มรายได้จากภาษีศุลกากรทันทีขั้นต่ำ 1 แสนล้านดอลลาร์
จากการประเมินของ Tax Foundation ของสหรัฐฯระบุว่า หากสหรัฐฯขึ้นภาษีต่อจีน 10% และแคนาดา เม็กซิโก 25% เป็นการถาวรและไม่มีการตอบโต้จะทำให้รายได้ภาษีเพิ่มขึ้นถึง 9.63 แสนล้านดอลลาร์ ถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงปี ค.ศ. 2025-2034 คิดเป็นภาษีเพิ่มขึ้น 800 ดอลลาร์ต่อครัวเรือน
และทำให้จีดีพีในระยะยาวปรับตัวลดลง -0.4% ( reduce long-run economic output by 0.4 percent (0.3 percent from the tariffs on Canada and Mexico and 0.1 percent from the tariffs on China)
การปรับขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนของรัฐบาลทรัมป์ในสมัยแรกและต่อเนื่องมายังสมัยรัฐบาลไบเดน ดุลการค้าของสหรัฐฯไม่ได้ดีขึ้นนัก แม้สหรัฐฯลดการนำเข้าสินค้าจีนที่ถูกตั้งกำแพงภาษี แต่สหรัฐฯนำเข้าเพิ่มขึ้นในสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศอื่นทดแทน อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราภาษีศุลากรกรต่อประเทศสมาชิกเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนืออย่างเม็กซิโก แคนนดาจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของเม็กซิโก แคนาดาและสหรัฐฯเอง จากความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและเป็นห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน ธุรกิจอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมอาหาร กระทบรุนแรงต่อการจ้างงาน
โดยรวมระยะปานกลางและระยะยาว กระทบต่อค่าครองชีพและทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงได้ ต้นทุนการผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นคันละ 3,000 ดอลลาร์ทุกๆการผลิตรถยนต์หนึ่งคัน เม็กซิโกส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารจำนวนมากมายังสหรัฐฯพืชผักผลไม้มากกว่า 60% ที่สหรัฐฯบริโภคนำเข้าจากเม็กซิโก จะทำให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นได้
อย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้จริงๆของการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าต่อสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาถึง 25% ครั้งเดียว จึงมีความเป็นไปได้ไม่มากนักหลังจากที่มีการทบทวนยืดเวลาการขึ้นภาษีไปหนึ่งเดือน กำแพงภาษีนำเข้าจะกระทบต่อเศรษฐกิจเม็กซิโกและแคนาดารุนแรงกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มที่สองประเทศน่าจะทำตามข้อต่อรองสหรัฐฯเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี เนื่องจากแคนาดา เม็กซิโก มีสัดส่วนมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯเทียบกับมูลค่าส่งออกทั้งหมดอยู่ที่ 78% และ 80%
ขณะที่ สหรัฐฯ นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ประมาณ 14-15% เท่านั้น เป็นไปได้สูงที่เม็กซิโกและแคนาดาจะเลือกเจรจากับสหรัฐฯมากกว่าตอบโต้ทางการค้าแบบจีน ทำให้อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯสูงมากกรณีของแคนาดาและเม็กซิโก สถานการณ์แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกรณีของจีน จีนลดการพึ่งพิงตลาดส่งออกสหรัฐฯมากขึ้นตามลำดับจนปัจจุบัน มีสัดส่วนเพียง 15% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดเท่านั้น โดยสัดส่วนมูลค่าส่งออกของสินค้าจีนต่อมูลค่าส่งออกของการค้าโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง จีนได้ขยายฐานในตลาดอื่นๆทั้งในละตินอเมริกา เอเชียและแอฟริกา ทดแทน ตลาดสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง
หากสงครามการค้าขยายวงและมีการตอบโต้กันด้วยกำแพงภาษีนำเข้าและมาตรการอื่นๆ ทาง DEIIT เห็นสอดคล้องกับการประเมินตัวเลขผลประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยมีสมมติฐานว่า หากสหรัฐฯ จีนและยุโรป เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกันที่ 10% และสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากประเทศอื่นอีก 10% จะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง 0.4% และ 0.6% ในปี พ.ศ. 2568 และ 2569 WTO ต้องมีบทบาทนำป้องกันการขยายวงของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ และ WTO ต้องนำเรื่องการฟ้องร้องของจีนเข้าสู่การพิจารณาและไต่สวนทันที
ซึ่งหากสหรัฐฯเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ามากกว่า 30% ขึ้นไปจากระดับปัจจุบันอาจทำให้เศรษฐกิจจีนอัตราการขยายตัวของจีดีพีชะลอตัวได้มากกว่า 0.4-0.5% ความขัดแย้งทางการค้าในระดับโลกจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านห้าช่องทาง ช่องทางการส่งออก ช่องทางการลงทุน ช่องทางภาคการผลิตและการจ้างงาน ช่องทางท่องเที่ยว และ ช่องทางระดับราคาและเงินเฟ้อ แต่ผลกระทบมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นอยู่กับกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้าที่ถูกนำมาใช้จริง ขึ้นอยู่กับการตอบโต้และการปรับตัวของประเทศคู่ค้า
อย่างไรก็ตาม หากสงครามทางการค้านำไปสู่มูลค่าการค้าโลกทรุดกว่า 50% ขึ้นไปอาจนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก New Global Great Depression ได้ ความเสี่ยงนี้แม้ยังมีความเป็นไปได้ต่ำแต่ไม่ควรประมาท เพราะหากปล่อยให้เกิดขึ้นเช่นในอดีตแล้ว สงครามเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางการค้าจะนำไปสู่วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการสร้างเงื่อนไขให้กลุ่มสุดโต่งทางการเมืองและลัทธิชาตินิยมสุดขั้วเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและนำไปสู่ภาวะสงครามได้ เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้น วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกช่วงต้นทศวรรษ 1930 นำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจของ พรรคนาซีในเยอรมัน และ พรรคฟาสซิสต์ในอิตาลี รวมทั้งการขึ้นสู่อำนาจของเผด็จการทหารในหลายประเทศนำไปสู่ สงครามครั้งที่สองในที่สุด