นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในวันมาฆบูชา และวันวาเลนไทน์ คาดจะมีเงินสะพัดราว 5,200 ล้านบาท โดยวันมาฆบูชาจะมีเงินสะพัดราว 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.81% ส่วนวันวาเลนไทน์จะมีเงินสะพัดเกือบ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.2%
ทั้งนี้ ประชาชายังมองเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระหว่างการภาวะฟื้นตัว ทำให้การใช้จ่ายยังมีความระมัดระวัง โดยมาตรการของภาครัฐยังไม่มีผลกระตุ้นให้น้อยมาก
สำหรับการจับจ่ายใช้สอยในวันมาฆบูชาปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ราว 2,500 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี แต่ยังไม่สูงกว่าช่วงวันตรุษจีนที่ขยายตัวถึง 4.5% ส่วนหนึ่งเนื่องจากเป็นช่วงกลางสัปดาห์ ไม่ได้เป็นวันหยุดต่อเนื่องเหมือนปีก่อน โดยประชาชนจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง โดยในปี 2560 มีมูลค่าการจับจ่ายใช้สอยสูงสุด 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าการจับจ่ายใช้สอยวันวาเลนไทน์ในปีนี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดทั้งสิ้นราว 5,200 ล้านบาท หรือเกือบ 2,700 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2563
อย่างไรก็ตาม จากการจับสัญญาณพฤติกรรมการใช้จ่าย และทัศนะของประชาชน ตั้งแต่ช่วงวันลอยกระทง วันปีใหม่ วันตรุษจีน เรื่อยมาจนถึงวันมาฆบูชา และวันวาเลนไทน์ พบว่า เศรษฐกิจของไทยอยู่ในภาวะฟื้นตัวแบบอ่อน ๆ ประชาชนยังมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย รายได้ยังกระจายตัวได้ไม่เต็มที่
ขณะเดียวกัน มาตรการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ 2 เฟสที่ผ่านมา ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีขึ้นและยั่งยืนในอนาคต ขณะที่ผู้ประกอบการมีความเห็นในมุมมองที่เป็นบวกว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวจากรายได้จากเทศกาลต่าง ๆ ที่ผ่าน