กระทรวงอุตฯ จ่อดึง “AI” จับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน หนุนความสามารถแข่งขัน SMEs

03 ก.พ. 2568 | 13:03 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.พ. 2568 | 13:03 น.

กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมดึงเทคโนโลยี AI ช่วยตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามาทำตลาดในไทย มุ่งหนุนความสามารถในการแข่งขันของ SMEs พร้อมเดินหน้ายกระดับเข้มงวดการบังคับใช้กฏหมายและจัดระเบียบอุตสาหกรรม

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หนึ่งในมาตรการที่กระทรวงฯกำลังจะดำเนินการเพื่อเซฟ (Save) ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) คือการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ เพื่อตรวจจับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถนำมาใช้อย่างเป็นทางการได้ในอีกไม่นาน

อย่างไรก็ดี ล่าสุดกระทรวงฯ ได้ดำเนินการยกระดับการเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายกับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมไทย กับโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎกติกา 

โดยได้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ในการจัดทำช่องทางร้องเรียนออนไลน์ของกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้ชื่อ แจ้งอุต ที่จะเป็นตัวกลางระหว่างประชาชนกับกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการเพิ่มช่องทางแจ้งเรื่องและตามติดสถานะของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแบบทันใจยกระดับการมีส่วนร่วมภาคประชาชน 

“การดำเนินการดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพให้ภาครัฐโดยการใช้เทคโนโลยีที่อำนวยให้ข้าราชการทำงานง่ายขึ้น อย่าง AI ที่ช่วยเจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์ แนะนำแนวทางการแก้ปัญหาอัตโนมัติ เพื่อลดระยะเวลาทำงาน”

กระทรวงอุตฯ จ่อดึง “AI” จับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน หนุนความสามารถแข่งขัน SMEs

โดยกระทรวงฯเอาจริงกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมทั้งการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้การประกอบกิจการเป็นเรื่องง่าย (Ease of Doing Business) และเพิ่มความคล่องตัวสำหรับประชาชนทั่วไปในการติดต่อกับกระทรวง

อย่างไรก็ดี ช่วงที่ผ่านมากระทรวงฯเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายกับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมไทย กับโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎกติกา ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 สินค้าไม่ได้มาตรฐานมากมายยังแทรกซึมในตลาด 

“ต้องยอมรับว่ากำลังพลของข้าราชการอุตสาหกรรมอาจจะมีไม่เพียงพอ จึงต้องการให้แจ้งอุตซึ่งเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยรับฟังเสียงจากประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อแก้ปัญหา อีกทั้งยังเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชน ในการต่อสู้เพื่อพังวงจรอุตสาหกรรมสีเทา โรงงานเถื่อน เอาผิดผู้ประกอบการไร้ความรับผิดชอบ ลักลอบฝังขยะอันตราย ปิดตายสินค้าข้ามชาติราคาถูกที่ไร้มาตรฐาน ช่วยกันพลิกฟื้นอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส ไม่ให้มีอะไรซุกใต้พรม“

นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพีให้โตอย่างน้อย 1% โดยจะเป็นการทำให้โรงงาน หรือผู้ประกอบกิจการแบบโปร่งใสได้ทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดี ล่าสุดได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณ 20 ล้านบาทจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อยกระดับศักยภาพของเอสเอ็มอี (SMEs) ไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และเติบโตอย่างยั่งยืน

โดยดำเนินการผ่านโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี ซึ่งจะประกอบด้วย 4 โครงการย่อย ที่ครอบคลุมความต้องการของ SMEs ประกอบด้วย

  • 1. โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ) มุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs ทุกขนาด(Micro/Small/Medium) ในทุกสาขาอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 60 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 1.08 ล้านบาท
  • โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ) มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ SMEs ในอุตสาหกรรมศักยภาพ (S-Curve) สู่ยุคดิจิทัล และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 200 กิจการ และ 400 คน ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท กระทรวงอุตฯอัดงบ 20 ล้านยกระดับ “SMEs” สู่ตลาดโลก รับเศรษฐกิจยุคใหม่
  • โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ) มุ่งพัฒนาศักยภาพธุรกิจฮาลาลของ SMEs ให้ได้มาตรฐานสากล พร้อมขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 100 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 7 ล้านบาท
  • 4. โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ) มุ่งช่วยเหลือ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาหนี้สินให้สามารถฟื้นฟูกิจการและกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง โดยตั้งเป้าหมายช่วยเหลือ SMEs ไว้ที่ 40 กิจการด้วยงบประมาณ 1.92 ล้านบาท