รัฐบาล เล็งดึงเงินนอกงบ-เงินฝาก อปท. 7.8 แสนล้าน โป๊ะงบปี 69

15 ม.ค. 2568 | 15:31 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ม.ค. 2568 | 15:41 น.

รัฐบาล ประกาศดึงเงินนอกงบประมาณทั้งเงินรายได้ เงินสะสมทุกหน่วยงาน หลังงบปี 2569 มีจำกัด ผอ.สำนักงบฯ เตรียมตรวจสอบทุกแหล่ง เล็งดูอปท. ไหนเงินเยอะ หลังพบเงินฝากกว่า 7.8 แสนล้าน

วันนี้ (15 มกราคม 2568) ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงานการประชุมสัมมนาและมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลได้ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณานำเงินนอกงบประมาณ หรือแหล่งเงินอื่น เช่น เงินรายได้ เงินสะสม มาใช้ดำเนินการในปีงบประมาณ 2569 ก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศในอนาคต

 

นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วันนี้

 

นายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวถึงรายละเอียดของการนำเงินนอกงบประมาณมาใช้ในปีงบประมาณ 2569 ว่า นโยบายของรัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานพิจารณาแหล่งเงินอื่นนอกเหนือไปจากงบประมาณมาใช้ดำเนินการในปีงบประมาณ 2569 ทั้งเงินรายได้ เงินสะสม หรือเงินที่ได้รับการจัดสรรไปแล้วใช้ไม่หมดโดยสำนักงบประมาณจะประสานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบข้อมูลว่า หน่วยงานใดมีเงินอยู่จำนวนเท่าใด 

“บางหน่วยงานอาจมีเงินของตัวเองเหลืออยู่จำนวนมาก เช่น เงินรายได้ หรือสะสมของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ หรือมหาวิทยาลัย หรือเงินกองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ สำนักงบประมาณจะไปดูทุกมิติ เพราะงบประมาณรายจ่ายมีอยู่อย่างจำกัด จึงต้องบูรณาการทรัพยากรทุกย่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” นายอนันต์ ระบุ

อย่างไรก็ตามในส่วนของเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง หากสำนักงบประมาณ ตรวจสอบแล้วพบว่ามีวงเงินอยู่จำนวนมากและเพียงพอต่อความต้องการใช้ สำนักงบอาจไม่จัดสรรงบให้เลยหรือไม่ ผอ.สำนักงบประมาณ ยอมรับว่า กรณีนี้นี้ สำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง หากพบมีท้องถิ่นไหนมีเงินนอกงบประมาณเพียงพอแล้วก็อาจไม่พิจารณาจัดสรรให้ แต่ก็ต้องดูเป็นรายกรณี 

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังราย ระบุว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 เงินฝากของ อปท. ทั้งหมดมีจำนวน 787,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีงบประมาณ 2566 จำนวน 69,069 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.6 ประกอบด้วย 1) เงินฝากสุทธิ ของ อปท. ในระบบธนาคารจำนวน 761,190 ล้านบาท และ 2) เงินฝากคลังของ อปท. จำนวน 26,172 ล้านบาท  

ขณะที่หนี้เงินกู้คงค้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 ทั้งหมดจำนวน 39,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีงบประมาณ 2566 จำนวน 2,148 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.8 โดยแบ่งแหล่งเงินกู้ออกเป็น 2 แหล่ง ได้แก่ 1.หนี้จากระบบธนาคารจำนวน 10,985 ล้านบาท และ 2. หนี้จากแหล่งอื่นจำนวน 28,240 ล้านบาท 

ผอ.สำนักงบประมาณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังได้แจ้งให้ทุกหน่วยงานรับทราบเกี่ยวกับการจัดทำคำของบประมาณ ปี 2569 ว่าให้เสนอของบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยมีวงเงินไม่เกิน 20% จากวงเงินที่เคยได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณก่อน เพราะจะช่วยลดเวลาและขั้นตอนในการตรวจสอบได้มากขึ้น ทั้งนี้สำนักงบประมาณจะส่งทีมงานไปหารือับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้จัดทำคำขอได้ตรงจุดที่สุด ไม่ใช่เสนอมาเผื่อตัดเหมือนในอดีต

ส่วนโครงการลงทุนที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ล่าสุดมีหน่วยงานที่เสนอโครงการเข้าไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบเพียงแค่ 3-4 หน่วยงานเท่านั้น และมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่ทันกำหนดในสิ้นเดือนมกราคม 2568 นี้ ดังนั้นจึงได้ประสานให้ทุกหน่วยงานที่มีโครงการผูกพันงบประมาณเร่งเสนอเรื่องเข้าไปยังครม.โดยด่วน เพื่อให้หน่วยงานนั้น ๆ ได้บรรจุโครงการมาขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 2569 ต่อไป 

ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง 2569-2572 ที่ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปก่อนหน้านี้ ยังได้รายงานข้อมูลการระดมทุนในรูปแบบอื่นสําหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ พบว่า มีแหล่งเงินอยู่ 2 ส่วนสำคัญที่สามารถนำมาใช้เป้นกลไกการขับเคลื่อนการลงทุนแทนงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ นั่นคือ 1.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) และ 2.กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF)

สำหรับกลไก PPP ถือเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐ ซึ่งช่วยให้รัฐสามารถพัฒนาโครงการลงทุนต่าง ๆ ได้รวดเร็วและมีคุณภาพ โดยเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือกในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต่าง ๆ ที่ช่วยลดภาระงบประมาณและภาระการคลังในระยะยาวของรัฐ และทำให้รัฐสามารถนําเงินงบประมาณไปพัฒนาโครงการอื่น ๆ หรือให้บริการประชาชนในส่วนอื่น ๆ ที่จําเป็นเพิ่มเติมได้มากขึ้น เช่น โครงการด้านการศึกษาหรือสาธารณสุข เป็นต้น