ผ่าธุรกิจ “บริดจสโตน” คุมอาณาจักร 2 หมื่นล้าน ผลิตยางรถยนต์ในไทย

เป็นข่าวดีท่ามกลางมรสุมข่าวร้ายจากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อพุ่งสูง หลังมีรายงานข่าวว่ายักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมยางรถยนต์ระดับโลก อย่าง “บริดจสโตน” (Bridgestone) ประกาศจะปิดโรงงานหล่อดอกยางเครื่องบินที่ฮ่องกง แลเตรียมย้ายการผลิตมายังพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ของประเทศไทย

 

จากรายงานของ นิกเคอิ เอเชีย ระบุข้อมูลว่า การปิดโรงงานหล่อดอกยางเครื่องบินที่ฮ่องกง เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงการสร้างธุรกิจ โดยโรงงานแห่งนี้ จะเปิดดำเนินการจนถึงปลายเดือน มิ.ย. 2566 รวมถึงฝ่ายขายที่อยู่ที่ฮ่องกง ซึ่งมีพนักงานประมาณ 102 คน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญ

 

สำหรับโรงงานที่ฮ่องกงที่กำลังจะปิดตัวลงนั้นได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2534 ทำหน้าที่ผลิตและเป็นศูนย์กลางส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าทั่วเอเชีย และโอเชียเนีย การปิดโรงงานแห่งนี้ จะส่งผลให้ บริดจสโตน มีโรงงานหล่อดอกยางสำหรับเครื่องบินเหลือ 5 แห่ง จาก 6 แห่ง ที่ตั้งอยู่ทั่วโลก

โดยในแถลงการณ์ของบริษัท เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมาระบุว่า บริดจสโตนคอร์ปอเรชัน บริษัทแม่ จะรวมกิจการผลิตยางล้อสำหรับเครื่องบินในเอเชีย ระหว่างบริษัท บริดจสโตน แอร์คราฟต์ ไทร์ โค เอเชีย หรือ BAA ในฮ่องกง และ บริษัท บริดจสโตน แอร์คราฟท์ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ BAMT มาเป็นบริษัทเดียวกัน และนำไปตั้งที่บริษัทในเครือในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทย

 

 

“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบข้อมูลของ บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน จากฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผ่านระบบ Creden Data พบว่า บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ได้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทลูกในประเทศไทยรวมกันทั้งสิ้น 7 บริษัท ดังนี้

 

บริษัทลูกบริดจสโตน ในประเทศไทย

 

1.บริษัท บริดจสโตน คาร์บอน แบล็ค (ประเทศไทย) จำกัด

• จดทะเบียนวันที่ 16 พ.ย. 2544 (20 ปี 8 เดือน) ตั้งอยู่ 4/11 หมู่ที่ 2 ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
• ประกอบธุรกิจคาร์บอน แบล็ควิจัยและพัฒนา และ Wet Master Batch
• ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 1,786 ล้านบาท
• มูลค่าบริษัท 1,999 ล้านบาท
• งบการเงินนำส่งปี 2564 มีสินทรัพย์ 2,312 ล้านบาท
• รายได้รวม 2,151 ล้านบาท
• รายจ่ายรวม 1,983 ล้านบาท
• กำไร 167 ล้านบาท
• บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ถือหุ้นอันดับที่ : 1 จำนวนหุ้น : 1,726,064 (96.61%)

2.บริษัท บริดจสโตน สเปเชียลตี้ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด

• จดทะเบียนวันที่ 29 พ.ค. 2555 (10 ปี 1 เดือน) ตั้งอยู่ 7/402 หมู่ที่ 6 ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
• ประกอบธุรกิจผลิตยางเรเดียล ทุกประเภท สำหรับพาหนะทุกประเภท , ผลิตยาง ทุกประเภท สำหรับพาหนะทุกประเภท
• ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 11,900 ล้านบาท
• มูลค่าบริษัท 6,404 ล้านบาท
• งบการเงินนำส่งปี 2564 มีสินทรัพย์ 13,796 ล้านบาท
• รายได้รวม 3,289 ล้านบาท
• รายจ่ายรวม 3,210 ล้านบาท
• ขาดทุน 42 ล้านบาท
• บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ถือหุ้นอันดับที่ : 1 จำนวนหุ้น : 11,899,997 (100%)

 

3.บริษัท บริดจสโตน เนเชอรัล รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

• จดทะเบียนวันที่ 25 มิ.ย. 2542 (23 ปี) ตั้งอยู่ 129/2 หมู่ที่ 3 ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา
• ประกอบธุรกิจ การผลิตยางแผ่นและยางแท่ง
• ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 447 ล้านบาท
• มูลค่าบริษัท 1,508 ล้านบาท
• งบการเงินนำส่งปี 2564 มีสินทรัพย์ 1,718 ล้านบาท
• รายได้รวม 5,862 ล้านบาท
• รายจ่ายรวม 5,766  ล้านบาท
• กำไร 72 ล้านบาท
• บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ถือหุ้นอันดับที่ : 1 จำนวนหุ้น : 446,998 (100%)

 

 

4.บริษัท บริดจสโตน แอร์คราฟท์ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด

• จดทะเบียนวันที่ 12 ก.ค. 2560 (5 ปี) ตั้งอยู่ 700/663-664 หมู่ที่ 7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี
• ประกอบธุรกิจบริการรับจ้างผลิตยางหล่อดอกสำหรับอากาศยาน
• มีทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 860 ล้านบาท
• มูลค่าบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 447 ล้านบาท
• งบการเงินนำส่งปี 2564 มีสินทรัพย์ 1,017 ล้านบาท
• รายได้รวม 267 ล้านบาท
• รายจ่ายรวม 255 ล้านบาท
• กำไร 6.8 ล้านบาท
• บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ถือหุ้นอันดับที่ : 1 จำนวนหุ้น : 85,997 (100%)

 

5.บริษัท พร๊อสไพร่า (ประเทศไทย) จำกัด

• จดทะเบียนวันที่ 18 ม.ค. 2565 ตั้งอยู่ 88/8 หมู่ที่ 2 ถนนสาย 13 ต.มะขามคู่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง
• ประกอบกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ยางสำหรับการจัดจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ
• มีทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 495 ล้านบาท
• งบการเงิน สินทรัพย์ ยังไม่มีการแจ้ง
• บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ถือหุ้นอันดับที่ : 1 จำนวนหุ้น : 99,998 (100%)

 

6.บริษัท อาร์เคม (ประเทศไทย) จำกัด

• จดทะเบียนวันที่ 1 ก.พ. 2565 ตั้งอยู่ 88/8 หมู่ที่ 2 ถนนสาย 13 ต.มะขามคู่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง
• ประกอบกิจการผลิตผลิตภัณฑ์โพลียูรีเทนสำหรับการจัดจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ เช่น เบาะรองนั่ง และผลิตภัณฑ์โฟม เป็นต้น
• มีทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 10 ล้านบาท
• งบการเงิน สินทรัพย์ ยังไม่มีการแจ้ง
• บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน ถือหุ้นอันดับที่ : 1 จำนวนหุ้น : 99,998 (100%)

7.บริษัท ไทร์ โมลด์ (ประเทศไทย) จำกัด  

• จดทะเบียนวันที่ 26 ก.ค. 2547 (17 ปี 11 เดือน) ตั้งอยู่ 700/622 หมู่ที่ 4 ต.บ้านเก่า อ.พานทอง จ.ชลบุรี
• ประกอบธุรกิจบริการรับจ้างผลิตยางหล่อดอกสำหรับอากาศยาน
• มีทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 415 ล้านบาท
• มูลค่าบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 690 ล้านบาท
• งบการเงินนำส่งปี 2564 มีสินทรัพย์ 791 ล้านบาท
• รายได้รวม 913 ล้านบาท
• รายจ่ายรวม 873 ล้านบาท
• กำไร 28 ล้านบาท
• บริดจสโตน คอร์ปอเรชันถือหุ้นอันดับที่ : 1 จำนวนหุ้น : 41,498 (100%)

 

 

สรุปข้อมูลของบริดจสโตน คอร์ปอเรชัน

 

จากข้อมูลพบว่าบริดจสโตน คอร์ปอเรชัน เข้าถือหุ้นใหญ่ในบริษัทลูก ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย 7 บริษัท โดยในปี 2564 ตามงบการเงิน มีสินทรัพย์รวมกันอย่างน้อย 19,634 ล้านบาท และรายได้รวมอย่างน้อย 12,482 ล้านบาท 

ในจำนวนนี้เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่เป็นกำไรรวม 6 แห่ง และขาดทุนเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ บริดจสโตน สเปเชียลตี้ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตยางเรเดียล ทุกประเภท สำหรับพาหนะทุกประเภท รวมทั้งผลิตยาง ทุกประเภท สำหรับพาหนะทุกประเภท ที่มีผลประกอบการขาดทุน 42 ล้านบาท

 

รู้จักธุรกิจของ “บริดจสโตน”

 

บริษัท บริดจสโตน คอร์ปอเรชัน เป็นบริษัทข้ามชาติด้านยานยนต์และชิ้นส่วนขนส่งของญี่ปุ่น และปัจจุบันยังเป็นบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยสามารถขึ้นมาอยู่ที่หนึ่งแทนมิชลินได้ในปี 2557 ยางรถยนต์รุ่นแรกของบริษัท ผลิตขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 2503

 

โดยการคิดค้นของฝ่ายโครงยางถุงเท้า "ทะบิ" ซึ่งเป็นถุงเท้าพื้นเมืองของญี่ปุ่น และในอีกหนึ่งปีต่อมานายโชะจิโร อิชิบะชิ ก็ได้นำฝ่ายการผลิตแยกออกมาจดทะเบียนเป็นบริษัทในปี 2474 ในเมืองคุรุเมะ จังหวัดฟุกุโอะกะ โดยใช้ชื่อบริษัทว่า "บริดจสโตน" ซึ่งมาจากการแปลนามสกุลอิชิบะชิเป็นภาษาอังกฤษ คือ อิชิ : สโตน และ บะชิ : บริดจ์ 

 

ปัจจุบัน บริดจสโตน มีโรงงานการผลิตหลักใน 160 แห่งทั่วโลก (ข้อมูล ณ ปี 2562) ทั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ โรงงานผลิตยางและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โรงงานแปรรูปวัตถุดิบ โรงงานแบบบูรณาการ และบริษัทวิจัยและพัฒนา โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยของเสียให้ได้ 40% ภายในปี 2566