วช.- สอวช เปิดโพลสำรวจค่าใช้จ่ายบุคคลากรวิจัย ดันไทยขึ้นฮับอาเซียน

20 พ.ค. 2565 | 19:01 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ค. 2565 | 02:11 น.

วช.- สอวช. เปิดผลสำรวจค่าใช้จ่ายบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาไทยรอบปี 64 แตะ 1.33% ของจีดีพี  เพิ่มขึ้นจากปี 62 กว่า 7%  ตั้งเป้างบวิจัยพุ่ง 2% ในปี 70 ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของอาเซียน

ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง  ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  เปิดเผยในงานผลสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา ของประเทศไทย ปี 2563 (รอบสำรวจปี 2564) เพื่อสะท้อนสถานภาพการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศว่า จากผลสำรวจดังกล่าว ถือเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ที่จะนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ  และเป็นข้อมูลที่จะประกอบการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและนวัตกรรม การติดตามประเมินผล ตลอดจนใช้วัดศักยภาพการพัฒนาและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย   

 

 

สำหรับผลการสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2563 (รอบสำรวจปี 2564)  พบว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนารวมทั้งสิ้น 208,010 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.33 ของ GDP ของประเทศ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 7.74    โดยสัดส่วนการค่าใช้จ่ายและลงทุนเป็นภาคเอกชน ร้อยละ 68  หรือ  141,706 ล้านบาท ส่วนภาครัฐรวมถึงภาคอุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร คิดเป็นร้อยละ 32   หรือ  66,304 ล้านบาท 

วช.- สอวช เปิดโพลสำรวจค่าใช้จ่ายบุคคลากรวิจัย ดันไทยขึ้นฮับอาเซียน

ทั้งนี้ภาพรวมค่าใช้จ่ายฯ ด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น  จากภาครัฐที่ใส่เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น  แต่สัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชน ได้ลดลงจากร้อยละ 77%  ในปี 2562    เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์ covid-19  โดย 3 อุตสาหกรรมที่ยังมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาสูงสุด ในปี 2563  คือ อุตสาหกรรมอาหาร  32,545 ล้านบาท  เนื่องจากผู้ประกอบการยังลงทุนในการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ  รองลงมา คือ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง  11,862 ล้านบาท  ซึ่งมีการวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมการป้องกันภัย  การตรวจสอบ และการระงับอัคคีภัย ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนได้ และมีการวิจัยเพื่อพัฒนาวัสดุก่อสร้างแบบประหยัดพลังงานเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้า 11,675 ล้านบาท ที่มีค่าใช้จ่ายทางด้านการวิจัยและพัฒนาสูงขึ้น เนื่องจากมีการลงทุนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนมากยิ่งขึ้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการทำงานที่บ้านมากยิ่งขึ้น

วช.- สอวช เปิดโพลสำรวจค่าใช้จ่ายบุคคลากรวิจัย ดันไทยขึ้นฮับอาเซียน

 

สำหรับจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา ในปี 2563 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่ทำงานเทียบเท่าเต็มเวลา (Full-time equivalent: FTE) รวมทั้งสิ้น 168,419 คน/ปี (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 1) โดยคิดเป็นสัดส่วน 25 คน/ปี ต่อประชากร 10,000 คน  ซึ่งแบ่งเป็นบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) ภาคเอกชน จำนวน 119,264 คน/ปี และภาคอื่น ๆ (รัฐบาล, อุดมศึกษา, รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) จำนวน 49,155 คน/ปี หรือคิดเป็นสัดส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) ของภาคเอกชนต่อภาคอื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 71:29  โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2570 จะเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) ให้มีสัดส่วนอยู่ที่ 40 คน/ปี ต่อประชากร 10,000 คน

ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ   กล่าวว่า  เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ตัวเลขสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา ปี 2563 เพิ่มขึ้น แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ covid-19  ซึ่งเป็นเพราะภาครัฐเห็นความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาจึงใส่เม็ดเงินในด้านนี้เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  ทั้งนี้หากดูแนวโน้มการพัฒนาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากงบลงทุน ฯ ประมาณร้อยละ 0.2 ของจีดีพี ขึ้นมาถึงร้อยละ 1.33 ของจีดีพีในปี 2563  ถือว่าประเทศไทยมีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันสูง

 

วช.- สอวช เปิดโพลสำรวจค่าใช้จ่ายบุคคลากรวิจัย ดันไทยขึ้นฮับอาเซียน

 “ ปัจจุบันในภูมิภาคอาเซียน ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของไทย ยังเป็นรองแค่ประเทศสิงคโปร์  และในปี2570  หรือ 5 ปี ข้างหน้า ประเทศไทยได้ตั้งเป้าค่าใช้จ่ายหรืองบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ร้อยละ 2 หากประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย คาดว่าจะทำให้ประเทศไทยสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนได้”

 

วช.- สอวช เปิดโพลสำรวจค่าใช้จ่ายบุคคลากรวิจัย ดันไทยขึ้นฮับอาเซียน

 อย่างไรก็ตามในส่วนของ สอวช. ได้มีการตั้งเป้าหมายใหญ่ของประเทศที่จะขับเคลื่อนด้วยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ให้สำเร็จภายในปี 2570  ด้วยการขับเคลื่อนประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง  มีกลไกหรือแพลตฟอร์มในการยกระดับฐานะทางสังคมของประชาชน   มีการส่งเสริมให้เกิดบริษัทที่ใช้นวัตกรรมเป็นฐานในการทำธุรกิจมากขึ้น   เพิ่มสัดส่วนแรงงานทักษะสูงรองรับภาคอุตสาหกรรม และผลักดันให้ 50% ของบริษัทส่งออก บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  นอกจากนี้ยังมีการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ด้านโครงสร้างระบบหน่วยงาน และด้านการส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรม