จีนเขย่าโลกชนสหรัฐฯ 10 เรื่องใหญ่ “สุรเกียรติ์” จี้ไทยปรับตัวเร็ว-อยู่เป็น

13 มี.ค. 2565 | 08:25 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2565 | 15:49 น.
4.0 k

ศาสตราจารย์ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย (APRC) และกรรมการการประชุมโบอ่าวแห่งเอเชีย (Boao Forum for Asia) ปาฐกถาพิเศษ ในงานครบรอบ 67 ปี สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 

โดยได้พูดถึงเรื่อง “ยุทธศาสตร์ สี จิ้น ผิง เขย่าโลก : ไทยจะอยู่อย่างไร” ความว่า ปัจจุบันจีนมีความสำคัญที่จะเขย่าโลกได้ เพราะจีนมียุทธศาสตร์ที่สามารถส่งผลต่อภูมิสถาปัตย์ทางเศรษฐกิจ และทางการเมืองของโลก และยังสามารถแข่งขันกับชาติมหาอำนาจอื่นได้

 

“แท้ที่จริงแล้วการเขย่าโลกไม่ใช่การเขย่าแค่ให้จีนใหญ่ขึ้นมา แต่เป็นการเขย่าเพราะจีนมีความสำคัญพอในระดับโลก ตอนนี้การเมืองภายใน และเศรษฐกิจภายในของจีนมีความเข้มแข็งพอ และมียุทธศาสตร์ที่แหลมคมที่สามารถแข่งขันกับชาติมหาอำนาจได้” ดร.สุรเกียรติ์ กล่าว

 

ดร.สุรเกียรติ์  เสถียรไทย

 

สำหรับความสำคัญของจีนจะเขย่าโลกได้หรือไม่  มีเหตุผล 14 ประการ คือ 1.จีนผงาด โดยได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับโลกทั้งทางด้านการทหาร เศรษฐกิจ การเมือง ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจีนได้ผงาดในเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก สามารถขจัดความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาไม่กี่สิบปีเท่านั้น

 

2.การเน้นกิจการภายในของจีน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ได้ประกาศนโยบายเศรษฐกิจควบคู่ (Dual Circulation) คือเศรษฐกิจในประเทศควบคู่เศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งการทุ่มงบประมาณมหาศาลในการสร้างพื้นฐานในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นภายในประเทศ (Homegrown) เช่นเดียวกับการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี สร้างสังคม ความรักชาติ และรักษาความต่อเนื่องของผู้นำ ทำให้จีนมีความมั่นคงและมีความโดดเด่นอย่างมาก

 

จีนเขย่าโลกชนสหรัฐฯ 10 เรื่องใหญ่ “สุรเกียรติ์” จี้ไทยปรับตัวเร็ว-อยู่เป็น

 

3.ผลการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองจีน (CPPCC) และสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC ล่าสุดนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ได้รายงานภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ พร้อมพิจารณาทบทวนเป้าหมายของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งติดตามนโยบายภาษี นโนบาย Zero Covid และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

 

 ขณะที่ หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้รายงานนโยบายทางด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ทั้งการไม่ประณามสหรัฐฯ การสร้างความเข้าใจว่ารัสเซียมีความห่วงใยในความมั่นคงของประเทศ โดยไม่อยากให้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO มาตั้งจุดรบหรืออาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน

 

 4.สร้างยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (String of Pearls) ร้อยประเทศต่าง ๆ เอเชียเข้าด้วยกัน 5.สร้างยุทธศาสตร์ 2 มหาสมุทร ทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งไทยมีที่ตั้งอยู่ตรงกลางยุทธศาสตร์ 6.สร้างยุทธศาสตร์ Pan-Beibu Gulf Cooperation โดยให้มณฑลกวางตุ้ง กวางสี และไหหลำ เป็นจุดเชื่อมอาเซียน 7.สร้างยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiatives หรือเส้นทางสายใหม่ทางบกและทางทะเล

 

 8.การสร้างระบบการระดมทุนเพื่อการพัฒนาใหม่ : ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย (Asian Infrastructure. Investment Bank : AIIB) 9.สร้างการระดมทุนเพื่อการพัฒนาใหม่ : ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ภายใต้กลุ่มบริกส์ (BRICS) 10.การเกิดระบบสร้างเสถียรภาพของการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน : มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคีหรือ CMIM (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) 11.ยุทธศาสตร์ทางการเงิน โดยทำให้เงินหยวนมีบทบาทมากยิ่งขึ้น และให้เป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองระหว่างประเทศ และใช้ในการชำระเงินระหว่างประเทศ

 

12.การเกิดเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ทั้ง Fin Tech และ Tech Fin รวมทั้งเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (DLT) เช่นเดียวกับ Blockchain และการสร้างเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศ รวมไปถึงการทำเงินหยวนดิจิทัล ที่ได้รับการการันตีโดยธนาคารกลาง 13.จีนประกาศนโยบาย Made in China 2025 และ 14.การประกาศเป็นประเทศชั้นนำทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายในปี ค.ศ. 2030

 

ดร.สุรเกียรติ์ มองว่า ด้วยเหตุผลทั้ง 14 ข้อนี้ แม้จะเห็นว่าจีนมีความสำคัญ แต่จีนจะเขย่าโลกไม่ได้ทั้งหมดถ้ามีคู่แข่ง ดังนั้นจึงต้องมาดูปัจจัยของจีนว่าจะแข่งกับชาติมหาอำนาจอันดับ 1 คือสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่ โดยมีปัจจัยการแข่งขันใน 10 ด้าน (กราฟิกประกอบ)  เช่น การแข่งขันทางเทคโนโลยี เพื่อให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และ Cyber Security, การแข่งขันในการมีอิทธิพลในเอเชีย, การแข่งขันกันวิจารณ์จุดอ่อน และการแข่งขันในการวางจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศ ให้มีความชัดเจน ยืดหยุ่น และปรับตัวได้ เป็นต้น

 

ในส่วนของประเทศไทยจะสามารถปรับตัวอยู่อย่าง ไรภายใต้สถานการณ์จีนเขย่าโลก มีเรื่องที่สำคัญต้องเร่งดำเนินการ ดังนี้ 1.ไทยต้องเข้าใจยุทธศาสตร์และนโยบายของจีน ซึ่งในปัจจุบันไทยยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างลึกลํ้าและเพียงพอ 2.ไทยต้องเข้าใจยุทธศาสตร์และการแข่งขันด้านการต่างประเทศของชาติมหาอำนาจ โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ 3.ไทยต้องสร้างสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ ทั้งจีนและสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดให้ได้โดยไม่เลือกประเทศใดประเทศหนึ่ง เพื่อดูว่ายุทธศาสตร์ใดที่ส่งผลประโยชน์กับประเทศ

 

4.ไทยต้องมีความแน่นแฟ้นกับกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และอาเซียน ในการสร้างสมดุลกับชาติมหาอำนาจที่เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาค 5.ไทยต้องมีความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับชาติมหาอำนาจในระดับรอง เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เพื่อถ่วงให้เกิดสมดุลระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยเสนอว่า ไทยต้องเข้าหาอินเดียมากกว่านี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง

 

6.ไทยต้องมีจุดยืนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่มีบูรณาการ เพื่อให้เกิดความสมดุลในปฏิสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจในหลาย ๆ ด้าน 7.ไทยต้องดึงประโยชน์จากยุทธศาสตร์ของชาติมหาอำนาจที่มีต่อเศรษฐกิจ และสังคมไทย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ทางด้านต่างประเทศให้ชัดเจนมากขึ้น เช่น การดึงดูดความร่วมมือในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ 

 

 “โดยสรุปแล้วประเทศไทยจะอยู่อย่างไร เรื่องนี้ก็คงต้องอยู่แบบไทย ๆ ไปเหมือนเดิม แต่ต้องอยู่แบบใกล้ชิดกับชาติมหาอำนาจทุกฝ่าย สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน พร้อมทั้งมียุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดขึ้น เร็วขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น และต้องปรับตัวเร็ว เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าประเทศไทยชาญฉลาดแต่อาจช้าเกินไป และไม่ทันกับการที่จะได้รับประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนสุดท้ายขอให้เร่งประสานองคาพยพ และภาคส่วนต่าง ๆ ของไทย เพื่อทำให้ไทยอยู่ได้ท่ามกลางจีนและชาติมหาอำนาจที่กำลังเขย่าโลกอยู่ในปัจจุบัน”ดร.สุรเกียรติ์ กล่าว

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3765 วันที่  13 -16 มีนาคม 2565