ปตท.ผนึก สวทช. รุกนวัตกรรมด้านสุขภาพ-การแพทย์ดันสู่มาตรฐานระดับโลก

04 ก.พ. 2565 | 17:14 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.พ. 2565 | 00:14 น.

ปตท.ผนึก สวทช. รุกนวัตกรรมด้านสุขภาพ-การแพทย์ดันสู่มาตรฐานระดับโลก เพิ่มโอกาสการเข้าถึงของคนไทย ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG

นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริาท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการร่วมมือกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย

 

การถ่ายทอดเทคโนโลยี น้ำยาเคลือบวัสดุคอมพอสิทของไฮดรอกซีอะพาไทต์และไทเทเนียมไดออกไซค์บนแผ่นนอนวูฟเวนเพื่อใช้เป็นแผ่นกรองสำหรับการผลิตหน้ากากอนามัย Safie Plus 

 

และการวิจัยและพัฒนาวัสดุฝังในทางการแพทย์ (Implant devices) ร่วม อว. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 

 

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย จึงเร่งพัฒนาธุรกิจทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต หรือ Life Science ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีของโลก เพิ่มโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลได้มากขึ้น 
 

รวมทั้ง ปตท. ได้ลงทุนผ่านบริษัทอินโนโพลีเมดในการสร้างโรงงานผลิตผ้าไม่ถักทอ (Non-woven Fabric) มีลักษณะเส้นใยขนาดเล็กและละเอียดในระดับไมโครเมตร ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากาก อุปกรณ์ PPE ทางการแพทย์ และแผ่นกรองประสิทธิภาพสูง 

 

โดยมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 ตันต่อปี ด้วยการใช้เม็ดพลาสติกที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทยจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. เอง เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนในสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) รวมทั้งปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ประเทศยังคงต้องเผชิญอยู่ 

 

ปตท. โดยสถาบันนวัตกรรม เล็งเห็นโอกาสในการช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวด้วยการร่วมมือกับ สวทช. ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ตอบโจทย์ BCG เพื่อนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ไปสร้างเป็นนวัตกรรมหน้ากากอนามัยและหน้ากากอเนกประสงค์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะสำหรับใช้งานจริง ให้มีความพร้อมในการผลิตและการจำหน่ายเชิงพาณิชย์  

นอกจากนั้นแล้ว ปตท. ยังให้ความสนใจในการลงทุนการวิจัยและพัฒนาวัสดุทางการแพทย์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งส่วนมากในปัจจุบันประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากต่างประเทศอยู่ ตัวอย่างเช่น

 

วัสดุฝังใน (Implant devices) โดยทำการคัดเลือกพลาสติกชนิดต่าง ๆ ที่มีสมบัติเหมาะสมจากกลุ่ม ปตท. มาประยุกต์ใช้งาน ด้วยฝีมือและองค์ความรู้ของคนไทย เพื่อช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ

 

และเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของประเทศร่วมกัน ยกระดับงานวิจัยสู่นวัตกรรมทางการแพทย์ เพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของนักวิจัยไทย ตลอดจนส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป
          

“การดำเนินการทั้งสองโครงการดังกล่าวนับเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ของนักวิจัยไทยให้สามารถนำไปผลิตเป็นนวัตกรรมที่สามารถจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้จริง ทั้งยังเป็นการตอบโจทย์กลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG สาขาเครื่องมือแพทย์เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพของอาเซียนในอนาคต”

 

หน้ากากอนามัยประสิทธิภาพสูง

 

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญของ BCG Economy Model ที่ต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ภายในปี 2570 ผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ 

 

โดยสนับสนุนให้มีการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศมีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเจ็บป่วยของประชาชนที่เพิ่มขึ้น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุรวมทั้งผลกระทบของโรคระบาดโคโรนาไวรัส 19 ในปี 2563 

 

จนถึงปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากการติดเชื้อเกือบ 6 ล้านคนทั่วโลก ทำให้เกิดวิกฤตการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ ทั้งในแง่ของวัตถุดิบ อุปกรณ์ วัสดุทางการแพทย์ที่ไม่สามารถนำเข้าหรือผลิตได้ทันตามความต้องการในประเทศ

 

ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นตัวเร่งความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและทันสมัย ซึ่งต้องอาศัยความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์ในการให้บริการที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานของบริการที่สูงขึ้นด้วย   
         

อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน ซึ่งการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีประสิทธิภาพและเป็นองค์รวม ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ

 

เดินหน้านวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์

 

และภาคเอกชนในการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งอุตสาหกรรมการแพทย์ภายในประเทศที่จะสนับสนุนระบบบริการ 

 

ดังนั้นกระทรวง อว. พร้อมให้การสนับสนุนภาคธุรกิจที่ผลิตนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์จากการวิจัยอย่างเต็มที่ เพราะเป็นงานที่ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน โดยกระทรวง อว. มีหน้าที่สนับสนุนนโยบายและเดินหน้ายุทธศาสตร์กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพตามนโยบาย BCG Economy Model เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วต่อไป


ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (Assistive Technology and Medical Devices Research Center: A-MED) ซึ่งเป็นทีมวิจัยที่วิจัยและพัฒนาเครื่องมือแพทย์ นวัตกรรมสุขภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา สวทช. ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมโดยการดำเนินการส่งมอบหน้ากากอนามัย Safie Plus กว่า 300,000 ชิ้น เป็นนวัตกรรมผลงานวิจัยโดยทีมวิจัยไทยเพื่อคนไทย แก่โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลสนาม

 

หน่วยงานของรัฐทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนคนไทยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพดีและได้มาตรฐานระดับสากล 

 

และนำมาสู่การขยายผลความร่วมมือครั้งนี้การถ่ายทอดเทคโนโลยีงานวิจัยน้ำยาเคลือบแผ่นกรองหน้ากาก Safie Plus ที่มีคุณสมบัติในการกรองไวรัส แบคทีเรีย และฝุ่น PM 2.5 ที่มีประสิทธิภาพสูง 

 

สำหรับน้ำยาเคลือบแผ่นกรองหน้ากาก Safie Plus เป็นการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีดักจับจุลินทรีย์และฝุ่นละอองโดยสารเคลือบไฮดรอกซีอะพาไทต์และไททาเนียมไดออกไซค์บนแผ่นนอนวูฟเวนของเส้นใยธรรมชาติผสมพอลิเอสเตอร์ที่มีรูพรุนระหว่างเส้นใยขนาดเล็กและเนื่องจากมีเส้นใยธรรมชาติเป็นองค์ประกอบจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถย่อยสลายได้ง่ายที่มีประสิทธิภาพการกรองไวรัสและ PM2.5 ตามมาตรฐาน ASTM F2101 

 

และ ASTM F2299 ตามลำดับได้มากถึง 99% ซึ่งผลงานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง ทีมวิจัยเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ฝังใน ของ A-MED และทีมวิจัยสิ่งทอ ของ MTEC สวทช. ที่ผสมผสานความรู้ทางด้านวัสดุทางการแพทย์กับ สิ่งทอเข้าด้วยกันในการพัฒนาเทคโนโลยี
         

การผลิตเครื่องมือแพทย์และวัสดุฝังในร่างกายมนุษย์ ถือเป็น 1 ในแผนหลักเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในอาเซียน (Medical Hub) ในปี 2570 ซึ่ง สวทช. ได้มีความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ฝังในทางการแพทย์ (Implant devices) ร่วมกับ ปตท. ถือเป็นก้าวแรกของการร่วมมือกันในการขยายผลและการร่วมวิจัยพัฒนา ทดสอบ ออกแบบและผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์จากเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ 

 

โดยสามารถนำมาพัฒนาให้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ทางการแพทย์สำหรับวัสดุฝังใน เช่น กะโหลกศีรษะเทียม เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย โดยเป็นการลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้คนไทยสามารถเพิ่มการเข้าถึงการรักษาด้วยวัสดุฝังในที่ผลิตในประเทศ และได้มาตรฐานทางการแพทย์ระดับสากล สอดคล้องกับเป้าหมายนโยบาย BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ 

 

โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ฝังในของ A-MED มีประสบการณ์ยาวนานในการพัฒนาอุปกรณ์ฝังในทางการแพทย์หลากหลายชนิดเข้าสู่เชิงพาณิชย์ โดยธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เติบโตขึ้นในโลกหลังโควิด-19 และถือเป็น 1 ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้นโยบาย BCG ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ