กระดานคริปโตปรอทแตก กัลฟ์ ผนึก Binance เขย่า Bitkub

20 ม.ค. 2565 | 07:30 น.
1.4 k

เอ็กซ์เชนจ์คริปโต เดือด“กัลฟ์” ประกาศผนึก Binance ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 โลก เตรียมบุกตลาดคริปโต วงการเชื่อสร้างความสั่นสะเทือนเอ็กซ์เชนจ์ไทย “ปรมินทร์ อินโสม”ระบุเกมเปลี่ยนหากกัลฟ์ ประสานรวม Binance เข้าโครงสร้างพื้นฐาน AIS เจาะกลุ่มผู้ใช้ 43.7 ล้านราย

เริ่มปี 2565 ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยมีความเคลื่อนไหวคึกคัก เพราะนอกจากเรื่องการเก็บภาษีคริปโตที่เป็นประเด็นร้อนแล้ว วงการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลก็เกิดความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เริ่มจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแผนจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทยในไตรมาส 2 ปีนี้

 

ล่าสุด “สารัชถ์ รัตนาวะดี” เศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งของไทย รุกคืบขยายวงเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยส่งบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยไปลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุุ่ม Binance (ไบแนนซ์) เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย

 

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ของ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” เศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งของไทย ด้วยมูลค่าการถือครองหุ้นกว่า 2 แสนล้านบาท แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุ่ม Binance เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย หลังจากช่วงเดือนกันยายน 2564 บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้ให้บริการสื่อสารใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่ง กัลฟ์ ถือหุ้นอยู่ด้วยได้เข้าร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ ในการให้บริการด้านสินเชื่อดิจิทัลด้วย ภายใต้บริษัทใหม่อย่าง “เอไอเอสซีบี หรือ AISCB”

กระดานคริปโตปรอทแตก กัลฟ์ ผนึก Binance เขย่า Bitkub

จากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยที่สดใหม่และมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วใน 2-3 ปีนี้ ทำให้ “สารัชถ์” มองเห็นโอกาสเติบโตสูง แถมการผนึกกับ Binance ตลาดซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดของโลกครั้งนี้ถือเป็นการเขย่าตลาดคริปโตในไทย ซึ่งปัจจุบันถูกถือครองพื้นที่โดย Bitkub ขณะที่ Binanne ก็กำลังรุกคืบเข้ามาในเอเชียเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Binance เองได้รับการอนุมัติเบื้องต้นจากธนาคารกลางบาห์เรน ในการให้บริการด้านสินทรัพย์คริปโตในประเทศ รวมถึงร่วมลงนามในข้อตกลงกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการค้าของนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย

 

ด้านนายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้ชื่อ "Bitkub" กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ”ว่าการลงนามลงนทึกความร่วมมือของกลุ่มกัลฟ์ กับกลุ่ม Binance เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องนั้นไม่มีผลกระทบในระยะสั้นนี้  เพราะเป็นการลงนามเท่านั้น   อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องน่าสนใจที่กลุ่ม Binance มองตลาดไทยว่ามีความสำคัญ และต้องการขยายบริการเข้ามา   ซึ่งในการเข้ามาทำให้บริการในไทยนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย

นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด 

"ส่วนตัวไม่อยากให้อุตสาหกรรมนี้ตกอยู่ในมือต่างชาติ หน่วยงานกำกับดูแลต้องพิจารณาดูว่าขณะนี้ผู้ประกอบการไทยมีความพร้อมหรือยังในการแข่งขันกับผู้ให้บริการต่างประเทศที่มีความพร้อมทั้งระบบอีโคซิสเต็มส์  และเงินทุน"

ส่วนนายพีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Upbit Thailand) ในฐานะของประธานสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การลงนามความร่วมมือศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย ของกลุ่มกัลฟ์ และ Binance เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจว่าเป็นอย่างไร

นายพีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Upbit Thailand) ในฐานะของประธานสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

ทั้งนี้มองว่าหากสามารถดำเนินการศูนย์ซื้อขายดิจิทัลในไทยได้จริง นักลงทุนจะหายไปจากศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทยมากกว่าครึ่ง อย่างไรก็ตามโจทย์ที่ยากสุดในการให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล คือการขอใบอนุญาตจาก คณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งระหว่างนี้มองว่าผู้ประกอบการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ต้องเร่งขยายฐานลูกค้าให้มากสุด โดยต้องมีการแข่งขันทั้งค่าธรรมเนียมการเทรดเหรียญ หรือ ค่าธรรมเนียมการฝากเหรียญหลายประเภท

 

ด้านนายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง และกรรมการ บริษัทสตางค์โปร จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวว่า Binance มองหาโอกาสเข้าตลาดไทยมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เลือกพาร์ทเนอร์ ซึ่งล่าสุดคือกลุ่มกัลฟ์ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนใหญ่พลังงาน ที่ต้องการขยายธุรกิจไปสู่เทคคอมพานี

นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง และกรรมการ บริษัทสตางค์โปร จำกัด

ปกตินักลงทุนไทยเกินครึ่งนิยมเทรดบน Binance อยู่แล้ว แต่ใช้กระเป๋าเงินในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย เป็นช่องทางนำเงินเข้า-เงินออก ถ้าหาก Binance เข้ามาจริง น่าจะช่วยให้นักลงทุนง่ายในการเทรด เพราะสามารถนำเงินเข้าเงินออกจาก Binance ได้โดยตรง และมีบริการเป็นเนื้อเดียวกัน ที่ง่ายต่อการใช้บริการของนักลงทุน ส่วนค่าธรรมเนียมหากคิดที่ 0.1% เชื่อว่าจะกระทบกับผู้ใช้บริการไทย ที่ปัจจุบันคิดค่าธรรมเนียม 0.22-0.25%

 

นายปรมินทร์ ได้วิเคราะห์มุมมองที่น่าสนใจว่า หากกัลฟ์ มีการใช้อินฟราสตรักเจอร์ของ AIS ผสานรวม (Synergy) กับบริการ Binance จะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้บริการ 43.7 ล้านคน ซึ่งจะเป็นคนละเกมกับที่ผู้ให้บริการศูนย์สินทรัพย์ดิจิทัลไทยเล่นอยู่ในปัจจุบัน

 

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตื้ ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างกัลฟ์กับ Binance นั้นเป็นการก้าวสู่ Megatrend ที่ค่อนข้างดี เพียงแต่ด้วยราคาหุ้นที่ขึ้นมาแรง ประกอบกับ Valuation ของตัวหุ้นที่อยู่ในระดับสูงแล้ว จึงมองว่าอาจมีความเสี่ยงที่ตัวหุ้นอาจจะเจอแรงขาย Sell on fact ได้เช่นกัน ส่วนประเด็นที่น่าติดตามต่อไปคือ มุมมองของหน่วยงานกำกับต่อดีลดังกล่าวและความคืบหน้าด้านมาตรการที่ยังอ่อนไหวอย่างเช่นการจัดเก็บภาษีต่างๆ

 

ส่วน บล.เอเชียพลัสระบุว่า ดีลดังกล่าวช่วยเปิดโอกาสให้สามารถขยายธุรกิจไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัลด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในอนาคต และถือเป็นการผนึกความแข็งแกร่งจากทั้ง 2 บริษัท โดยกัลฟ์มีประสบการณ์และความชำนาญในการพัฒนาและบุกเบิกธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศ ขณะที่ Binance มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมีปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก

 

“ถือเป็น sentiment เชิงบวกในระยะยาวที่จะช่วยต่อยอดฐานกำไรในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ GULF ได้ในอนาคต โดยรวมน่าจะเป็น Sentiment ที่ดีต่อราคาหุ้น เช่นเดียวกับหุ้นอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจคลิปโต ในช่วงที่ผ่านๆ มา อย่างไรก็ดีการเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวของกัลฟ์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษา และยังไม่ได้มีการลงทุนใดๆ ซึ่งถือว่าต้องใช้เวลา และยังไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน”