“ศักดิ์สยาม” ผุดแผนลงทุนปี 65 ดันเมกะโปรเจคต์แสนล้าน

23 มิ.ย. 2564 | 13:30 น.
894

“ศักดิ์สยาม” เข็นแผนลงทุนปี 65 บูมเมกะโปรเจคต์ 4 มิติ ลุยหาแหล่งเงินกู้-ระดมทุนฟิวเจอร์ฟันด์ เปิดทางเอกชนร่วมทุนพีพีพี ดันรถไฟทางคู่-มอเตอร์เวย์ 4 เส้นทาง ปลุก MR-MAP เชื่อมแลนด์บริดจ์ หวังเพิ่มเส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ของอาเซียน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาพิเศษ  ‘Empowering Thailand 2021 เคลื่อนอนาคตไทยด้วยการลงทุน’ ว่า ในปี 2564 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 2.5 – 3.5% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว มีวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ดี การกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ภาครัฐถือเป็นส่วนสำคัญต้องร่วมกับเอกชนและธุรกิจ โดยเฉพาะการลงทุนจากภาครัฐ เพราะหลายเครื่องจักรในขณะนี้ยังชะลอตัว

 

 

กระทรวงคมนาคม มีส่วนสำคัญต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ในปีงบประมาณ 2564 ได้รับงบจัดสรร 1.8 แสนล้าน และในปี 2565 ได้รับ 1.1 แสนล้าน ซึ่งขณะนี้งบประมาณปี 2564 กระทรวงฯ เร่งเบิกจ่ายไปแล้ว 50% หรือราว 9 หมื่นกว่าล้าน โดยในปี 2565 ตามงบประมาณที่กระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรรลดลง  แต่ไม่ต้องวิตกกับเรื่องนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่า ภาวะโควิด-19 เราต้องดูการลงทุนภาครัฐจากแหล่งงบประมาณอื่นๆ  ทั้งนี้ในการจัดหางบประมาณลงทุนจากแหล่งเงินทุนอื่นๆ ทางกระทรวงฯ ได้พิจารณาพบว่าวิธีการที่จะได้รับการลงทุน เช่น การเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรัฐ (พีพีพี) การระดมทุนจากกองทุนฟิวเจอร์ฟันด์ และแหล่งเงินกู้จากสำนักงานบริหารหนี้ ซึ่งวิธีการจัดหาแหล่งเงินทุนเหล่าทั้ง 3 แหล่งนี้ จะมาเติมเต็มงบประมาณที่ลดลงในปี 2565 ทำให้เกิดการลงทุนจากโครงการภาครัฐมากกว่างบประมาณที่ได้รับจัดสรร 1.1 แสนล้านบาท”

“ศักดิ์สยาม” ผุดแผนลงทุนปี 65 ดันเมกะโปรเจคต์แสนล้าน

 

ทั้งนี้ไทยมีจุดยุทธศาสตร์ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางอาเซียน เป้าหมายของกระทรวงฯ จึงต้องการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานทุกโหมด ให้สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการเดินทางของอาเซียน ทางกระทรวงฯต้องพร้อมทั้งบก ราง อากาศ และทางน้ำ ซึ่งปัจจุบันไทยมีความพร้อมทางทะเล ฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เหลือสร้างเชื่อมต่อการเดินทางจากมหาสมุทรอินเดียมาอ่าวไทย  เบื้องต้นกระทรวงฯ ได้มีการศึกษาสามารถเชื่อมต่อได้ผ่านโครงการแลนด์บริดจ์ โดยแต่ละฝั่งทะเลจะมีท่าเรือน้ำลึก และเชื่อมต่อผ่าน MR – Map หรือการเชื่อมต่อด้วยโครงข่ายทางถนนมอเตอร์เวย์ และรถไฟ เลือกใช้เส้นทางที่มีระยะสั้นสุด เพื่อผลักดันให้อนาคตจะเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ของภูมิภาคอาเซียน จากเดิมที่ต้องใช้ช่องแคบมะละกา สำหรับการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ปัจจุบันคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบศึกษาโครงการแล้ว คาดงว่าภายในปี 2565 จะได้ทราบความคืบหน้าของโครงการแลนด์บริดจ์ต่อไป  ขณะเดียวกันแผนพัฒนาแลนด์บริดจ์ที่สร้างจะเป็นตัวสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะเสร็จในปี 2568  รวมทั้งทางกระทรวงฯ กำลังพัฒนาสนามบิน ท่าเรือ รถไฟความเร็วสูง และโครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมต่อจากศรีนครินทร์ ดังนั้นแลนด์บริดจ์จะเป็นเสมือนประตูของอีอีซี สนับสนุนในการเดินทางทะลุไปมหาสมุทรอินเดีย เชื่อมการขนส่งสินค้า และการค้าระหว่างอีอีซีไปทั่วโลกได้ง่ายขึ้น

 

 

นายศักดิ์สยาม  กล่าวต่อว่า  จากการเริ่มต้นศึกษาแลนด์บริดจ์ ทำให้กระทรวงฯ ได้เกิดแนวคิดในการพัฒนาทางเลือกการเดินทาง MR-Map บูรณาการรถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ ให้เป็นเส้นทางบูรณาการร่วมกัน ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา โดยโครงการนี้จะตอบโจทย์ศูนย์กลางการเดินทางทั้งทางบก และทางราง เป็นการวางพื้นฐานให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางอาเซียน  โดยโครงการที่จะสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน โครงข่ายทางบก ลำดับความสำคัญที่สุด คือ 1.การพัฒนาเส้นทางแลนด์บริดจ์ ซึ่งขณะนี้ทูตและนักลงทุนหลายประเทศเข้ามาสอบถามเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่ามีคนสนใจมาก กระทรวงฯ ย้ำเสมอว่าในที่สุดการลงทุนเหล่านี้ จะเป็นการเปิดพีพีพี เปิดในรูปแบบการลงทุนนานาชาติ

 

“ศักดิ์สยาม” ผุดแผนลงทุนปี 65 ดันเมกะโปรเจคต์แสนล้าน

2.โครงข่ายมอเตอร์เวย์ เส้นทางนครราชสีมา – อุบลราชธานี 3. หนองคาย- แหลมฉบัง และ 4. วงแหวนรอบ 3- กรุงเทพมหานคร ทั้งหมดนี้คาดว่าในปี 2565 จะเห็นรูปแบบที่ชัดเจนของเส้นทางเหล่านี้ และประเมินงบประมาณการลงทุน โดยกระทรวงฯ เน้นย้ำยึดหลักดำเนินการตามระเบียบข้อกฎหมาย

 

 

ทั้งนี้ด้านการพัฒนาระบบราง เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์  โจทย์สำคัญขณะนี้มี 3 เรื่อง คือ 1.รถไฟจะต้องเป็นรางคู่ มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นทุกปี โดยตามแผนทั่วประเทศต้องเป็นรถไฟรางคู่ เพื่อสนับสนุนเอาโลจิสติกส์ไปขนส่งทางราง 30% นอกจากนี้ การลงทุนของ รฟท.เนื่องจากปัจจุบันสถานะทางการเงินมีปัญหา กระทรวงฯ จึงจัดตั้งบริหารสินทรัพย์ รฟท. ซึ่งเชื่อว่าการบริหารสินทรัพย์ต่อจากนี้จะมีประสิทธิภาพ นำเม็ดเงินเข้าองค์กรอย่างต่อเนื่อง และอีก 10 ปี รฟท.จะไม่มีหนี้   2.การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้า ต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมี 14 เส้นทางที่เปิดให้บริการและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตามแผนทุกเส้นทางจะแล้วเสร็จในปี 2570 ทำให้ทั่วกรุงเทพฯ มีระยะทาง 554 กิโลเมตร ตอบโจทย์การเดินทาง เชื่อมกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง สนับสนุนการเดินทางรอบกรุงเทพฯ จากเส้นทางที่เป็นวงกลม และกำลังจะมีสายสีแดง และเราจะขยายรถไฟรางเบาในต่างจังหวัดด้วย  และ 3. ปัจจุบันระบบรางยังมีการพัฒนารถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) 2 เส้นทาง คือ รถไฟไทย - จีน และรถไฟเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ดังนั้น จะเห็นได้ว่าระบบรางจะกลายเป็นโลจิสติกส์สำคัญของประเทศในอนาคต

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง