เสนาชี้โซลาร์รูฟท็อปบ้านกำลังมารับกระแส New Normal

น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)และกรรมการ บริษัทเสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด เปิดเผยว่า กระแสของ New Normal ในระยะต่อไปนั้น  คาดว่าการทำงานที่บ้าน (Work From Home : WFH) จะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น  จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล  โดยแม้ว่าไวรัสโควิดจะลดลง หรือหมดไปการ WFH ก็น่าจะยังคงมีอยู่  เพราะหลายองค์กรจะพิสูจน์เห็นแล้วว่าการ WFH ยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรได้

ทั้งนี้  บริษัทจึงคาดว่าการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาที่อยู่อาศัย หรือโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) จึงมีโอกาสที่จะเติบโตสูงเพื่อตอบโจทย์การประหยัดค่าไฟฟ้าและที่สำคัญยังจะเป็นคำตอบที่ทั่วโลกจะต้องยิ่งให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ( Climate Change) ที่มากขึ้นเพราะเป็นพลังงานสะอาด

อย่างไรก็ดี  เสนาได้วางแผนที่จะติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ขนาดกำลังการผลิต 1 กิโลวัตต์กับโครงการที่อยู่อาศัยประเภท ทาวน์โฮม ราคาประมาณ 2 ล้านบาท โดยจะนำร่องติดตั้งทุกยูนิตในโครงการ เสนาวิลล์ ลำลูกกา- คลอง 6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวเดือนมิถุนายน 2563 โดยการพัฒนาดังกล่าวเพื่อให้กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ปานกลางเข้าถึงนวัตกรรมพลังงานสะอาด ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกบ้านและยังสอดรับพฤติกรรมของคนไทยภายหลังจากการแพร่ระบาดไว้รัสโควิด-19 ซึ่งการ WFH จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ New Normal

“เสนาต้องการให้ผู้ที่มีรายได้น้อยเข้าถึงและต้องการทดสอบว่าการทำงานอยู่บ้านจะกลายเป็นเรื่องปกติไหมหรือ New Normal จะเกิดจริงหรือไม่ แต่ระหว่างนี้หากทำไปแล้วโควิด-19 จบแล้วทุกคนก็กลับมาทำงานที่ออฟิศเหมือนเดิมก็สามารถเลิกได้ แต่ก็ยังเชื่อว่าจะเกิดขึ้นแต่อาจไม่ได้เต็ม 100% เพราะจริงๆ ที่ผ่านมาก็มีคนทำงานที่ร้านกาแฟอยู่จำนวนหนึ่งอยู่แล้วแต่พอโควิด-19 จึงต้องไปทำงานที่บ้านแทน"

นางสาวเกษรา กล่าวต่อไปว่า การติดตั้งแผงโซลาร์ในทุกโครงการของเสนานั้น จะมีบริษัท เสนา โซลาร์ เอเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ จะเป็นผู้เข้ามาดำเนินการติดตั้งและให้บริการวางระบบต่างๆเนื่องจากเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเสนาได้ทำการคำนวณความเหมาะสมของการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทที่มีอัตราการใช้ไฟฟ้าที่สิ้นเปลื้อง โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และ คอมพิวเตอร์ ที่คาดว่าจะสอดรับกับพฤติกรรมของคนไทยในการทำงาน และการอยู่อาศัยที่มีทิศทางจะเปลี่ยนไปโดยใช้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการใช้มาตรการ WFH ที่จะเป็น New Normal ที่หลายส่วนได้เห็นประสิทธิภาพการทำงานที่ช่วยลดต้นทุนรายจ่ายและพนักงานจะยังคงมีโอกาสทำงานที่มากขึ้นในอนาคต ประกอบกับวัคซีนและยารักษาโควิด-19 ขณะนี้เองก็ยังไม่มี”

สำหรับกระแสโซลาร์รูฟท็อปที่มาแรง ทำให้มีการเร่งรัดการวิจัยด้านแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงาน (เอนเนอร์ยี่ สตอร์เรจ)เพื่อนำไฟฟ้าที่ผลิตได้ช่วงกลางวันมาใช้กลางคืน ซึ่งเป็นจิ๊กซอร์สำคัญการติดโซลาร์ อย่างไรก็ตามสำหรับไทยปัจจุบันยังติดตั้งน้อยมาก เพราะนโยบายรัฐบาล คือ โซลาร์ประชาชน ยังไม่จูงใจ เพราะกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากบ้านที่ติดตั้งเพียง 1.68 บาทต่อหน่วย ซึ่งอัตราที่เหมาะสมควรมากกว่า 2 บาทต่อหน่วย หรืออยู่ระดับ 3.8 บาทต่อหน่วยอัตราเดียวกับราคาเฉลี่ยค่าไฟของไทย จะช่วยทำให้การติดตั้งเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบัน ซึ่งประโยชน์จากการติดตั้งโซลาร์ไม่เพียงประหยัดค่าไฟ ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดโลกร้อน ซึ่งจะเป็นอีกวิกฤตหนึ่งต่อจากโควิด-19 และกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

นางสาวเกษรา กล่าวต่อไปอีกว่า ที่ผ่านมาเสนาฯได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อที่จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้ลดค่าใช้จ่ายลงมากขึ้นโดยการติดตั้งให้กับโครงการบ้านเดี่ยวและคอนโดนมิเนียมส่วนกลางเพราะมองว่าเป็นพลังงานสะอาดและจะช่วยลูกบ้านประหยัดค่าใช้จ่ายและคาดการณ์ว่าหากแบตเตอรี่มาก็จะทำให้โซลาร์ฯเกิดเร็วขึ้นมากแต่ปรากฏว่าโควิด-19 มาก่อนและทำให้ลูกบ้านที่ติดโซลาร์ฯ 400 หลังคาได้ประโยชน์ในการประหยัดค่าไฟอย่างมากเพราะอยู่บ้านช่วงกลางวันและที่สำคัญไม่ต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มในอัตราก้าวหน้าที่จะแพงขึ้น

 "แนวโน้มการติดตั้งโซลาร์บนหลังโรงงาน อาคารพาณิชย์ มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากโควิด -19 ทั้งรูปแบบการติดตั้งเอง และกลุ่มรับติดตั้ง แม้ต้นทุนการติดตั้งจะถูกกว่าหลังคาบ้าน โดยปัจจุบันเสนาฯได้ติดตั้งให้รวมประมาณ 6 เมกะวัตต์ อาทิ โรงแรม ซูเปอร์มาร์เก็ต  โชว์รูมรถยนต์ เป็นต้น"