ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์

24 ต.ค. 2562 | 16:00 น.
893

 

 

“สนธิรัตน์” เดินหน้าปฏิรูปอุตสาหกรรมนํ้ามัน เข็นดีเซลบี 10 เป็นนํ้ามันพื้นฐานของประเทศ สร้างเกษตรกรฐานรากให้เข้มแข็ง รักษาสมดุลปาล์มนํ้ามัน แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 มั่นใจระยะแรกรองรับรถยนต์ได้ 50% พร้อมดึงสต๊อกซีพีโอมาดูแล แก้ลักลอบนำเข้า

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายและทิศทางขับเคลื่อนพลังงานทดแทน” ในงานสัมมนา B10 ปฏิรูปนํ้ามันบนดินเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ที่จัดขึ้นโดยบริษัท เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป ประกอบด้วย ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก ร่วมกับกระทรวงพลังงาน ว่า ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล

ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน  ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์

ที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงพลังงาน มีนโยบายชัดเจนที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างของอุตสาหกรรมนํ้ามันในประเทศใหม่ โดยการมุ่งสู่การพึ่งพานํ้ามันบนดินที่ผลิตได้ในประเทศ โดยได้ส่งเสริมการใช้นํ้ามันดีเซลบี 10 ให้เป็นนํ้ามันดีเซลพื้นฐานของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อส่งเสริมไบโอดีเซลอย่างแท้จริง

ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน  ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์

ยันนโยบายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ที่ผ่านมาการส่งเสริม ไบโอดีเซล แม้จะมีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่บางช่วงเวลาเกิดการขาดแคลนปาล์มนํ้ามัน หรือมีปาล์มนํ้ามันในปริมาณมาก ทำให้ต้องปรับลดหรือเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลบี 100 ในลักษณะที่ยืดหยุ่น เกิดความไม่ต่อเนื่อง ในการดำเนินงานครั้งนี้ จึงถือเป็นการยืนยันนโยบายการส่งเสริมไบโอดีเซลว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอีก เพื่อให้ทุกฝ่ายปรับตัวและเดินหน้าในการแก้ปัญหาปาล์มนํ้ามันของประเทศ

ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน  ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์

รักษาสมดุลปาล์มนํ้ามัน

นอกจากนี้ ตามนโยบาย Energy for all ที่ประกาศไว้ หรือ พลังงานเพื่อทุกคน พลังงานเพื่อชุมชน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมลํ้าของประเทศ เนื่องจากเกษตรกรกว่า 30 ล้านรายยังอยู่บนฐานอาชีพเกษตรกรรม และปาล์ม เป็น1 ใน 5 ของพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ แต่ปัจจุบัน ยังเผชิญกับปัญหาปริมาณผลผลิตมากกว่าความต้องการ โดยมีสต๊อกส่วนเกินอยู่ที่ 4-5 แสนตัน จากระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 2.5 แสนตัน ซึ่งสต๊อกส่วนเกินนี้ทำให้เกิดปัญหาราคาผลผลิตตกตํ่า

ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน  ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์

จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการให้เกิดสมดุลระหว่างปริมาณผลผลิตและความต้องการ แม้ว่าที่ผ่านมาได้เร่งส่งเสริมการใช้ดีเซล บี 20 กับรถบรรทุกขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถส่งเสริมได้เกิน 6 ล้านลิตรต่อวัน แสดงให้เห็นว่า ดีเซลบี 20 ยังไม่สามาถแก้ไขปัญหาได้ จึงต้องปรับโครงสร้างใหม่ไปสู่ดีเซลบี 10 เพื่อดึงยอดการใช้จากดีเซลบี 7 ที่มีอยู่ 60 ล้านลิตรต่อวัน ไปสู่การใช้ดีเซลบี 7 ให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 57 ล้าน ลิตรต่อวันให้ได้ ซึ่งจะช่วยดูดซับปริมาณนํ้ามันปาล์มดิบ(ซีพีโอ) อยู่ที่ 4 แสนตัน ทำให้เกิดสมดุลได้

ทั้งนี้ แม้ว่าการดำเนินงานดังกล่าว จะส่งผลต่อต้นทุนราคา นํ้ามันก็ตาม แต่ทิศทางนี้ปฏิเสธไม่ได้เพราะเป็นการสร้างความสมดุลให้กับปาล์มนํ้ามัน และยังช่วยลดการพึ่งพานำเข้านํ้ามันดิบจากต่างประเทศได้ เพราะนํ้ามันบนดินที่ปลูกได้สามารถนำมาทดแทนนํ้ามันดีเซลช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรให้เป็นที่พอใจได้


 

คุมสต๊อกซีพีโอแก้ลักลอบ

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการส่งเสริมนํ้ามันดีเซล บี 10 ได้มีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ขอให้ไปดูแลปัญหาลักลอบนำเข้านํ้ามันปาล์มดิบ(ซีพีโอ) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการล้นตลาดในอนาคต เช่น การตรวจเข้มสต๊อกซีพีโอ ขณะที่กระทรวงพลังงาน จะดูแลสต๊อกซีพีโอที่ผลิตได้ 2.2 ล้านตันต่อปี เพื่อนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซลบี 100 จะมีการผสมสารเติมแต่ง (Marker) ในซีพีโอตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป เพื่อป้องกันซีพีโอที่จะลักลอบเข้ามา และกันปริมาณซีพีโอ1 ใน 3 ที่เป็นส่วนของการบริโภค ปริมาณ 0.9-1 ล้านตันต่อปี ไม่ให้มาปนกับการนำไปผลิตเป็นพลังงาน

ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน  ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์

“การเดินหน้า B10 ครั้งนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่สะสมมายาวนาน และอนาคตกระทรวงพลังงานมีเป้าหมายยกระดับไปสู่เรื่องของไบโอเคมีคัล และไบโออีโคโนมี ซึ่งทำให้ผลผลิตปาล์มขยับขึ้นไปที่ 7 บาทต่อกิโลกรัมและจะทำให้ราคาซีพีโอ จากปัจจุบัน 18 บาทต่อกิโลกรัม ขยับผลผลิตไปสู่ 60 บาทต่อกิโลกรัมได้ แต่ก็ขอให้เกษตรกรอย่าเพิ่งรีบร้อนเร่งปลูกปาล์มและนโยบายนี้อาจนำไปสู่เรื่องของคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่ง เพื่อควบคุมการเพาะปลูกไม่ให้เป็นปัญหาราคาตกตํ่าในอนาคต ซึ่งนโยบายนี้เป็นการเริ่มต้นดูแลทั้งระบบอย่างแท้จริง”

ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน  ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์

 

ปริมาณรถใช้ได้กว่า50%

ส่วนปริมาณรถยนต์ที่สามารถรองรับการใช้นํ้ามันดีเซลบี 10 ได้นั้น ทางกรมธุรกิจพลังงาน ได้มีการประกาศเรื่อง กําหนดลักษณะและคุณภาพของนํ้ามันดีเซล ที่ผู้ผลิตรถยนต์รับรองให้สามารถใช้นํ้ามันดีเซลหมุนเร็วบี 10 ได้นั้น มีมากกว่า 50% หรือกว่า 5 ล้านคันของจำนวนรถที่ใช้นํ้ามันดีเซลที่ 10.5 ล้านคัน โดยมีจำนวน 19 โมเดล (ตามรหัสเครื่องยนต์) รวม 8 ยี่ห้อ ทั้งรถยนต์เก่าและใหม่ในกลุ่มปิกอัพ พีพีวี และรถตู้ เป็นต้น และหลังจากนี้ไปค่ายรถยนต์ต่างๆ จะปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้มารองรับนํ้ามันดีเซลบี 10 มากขึ้น หลังจากทราบนโยบายการส่งเสริมที่ชัดเจนแล้ว

อีกทั้ง กระทรวงพลังงานยังสร้างความมั่นใจให้กับค่ายรถยนต์ ตามที่มีความเป็นห่วงในเรื่องคุณภาพของไบโอดีเซลบี 100 ที่นำมาผสมในนํ้ามันดีเซล โดยได้ประกาศกําหนดลักษณะและคุณภาพของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ให้เหลือเกรดเดียว ที่กำหนดให้โมโนกลีเซอไรต้องไม่เกิน 0.4% โดยนํ้าหนัก เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเครื่องยนต์อีกด้วย

 

ช่วยลดปัญหาPM 2.5

ทั้งนี้ นอกจากสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากแล้ว จากการสร้างความสมดุลให้กับสต๊อกนํ้ามันปาล์มเกษตรกรมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น การส่งเสริมนํ้ามันดีเซลบี 10 ยังเป็นการช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ที่เกิดจากการใช้นํ้ามันฟอสซิลซึ่งการแก้ปัญหาจะใช้เงินมหาศาลเมื่อนำ นํ้ามันบนดินหรือจากพืชพลังงานมาใช้ จะช่วยประเทศประหยัดเงินในการแก้ปัญหาได้ทางหนึ่งด้วย

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3516 วันที่ 24-26 ตุลาคม 2562

ลุยปฏิรูปนํ้ามันบนดิน  ‘สนธิรัตน์’เข็นบี10คุมซีพีโอแทนพาณิชย์