จ่อตั้งคณะกรรมการร่วม ไทย-กัมพูชา เจรจาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งปิโตรเลียม

16 ต.ค. 2562 | 18:00 น.
506

คณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา รุดพบ”สนธิรัตน์” ติดตามและรับทราบนโยบายการทำงานของกระทรวงพลังงานในทุกแง่มุม  อาทิ ความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน การส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน การรื้อถอนแท่นการผลิตปิโตรเลียมของเชฟรอน รวมถึงเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

 

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  เปิดเผยว่า วันนี้( 16 ต.ค.62) คณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา นำโดย พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการ สมาชิกวุฒิสภา ได้มาติดตามและรับทราบนโยบายการทำงานของกระทรวงพลังงาน ในประเด็นต่างๆ  โดยได้ชี้แจงทิศทางสำคัญให้คณะกรรมาธิการฯทราบสรุป 3 เรื่องใหญ่ ได้แก่ กระทรวงพลังงาน ได้ผลักดันนโยบาย Energy For All พลังงานเพื่อทุกคน เพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจการบริหารจัดการพลังงานไปในกลุ่มฐานรากมากขึ้น จากเดิมมีเพียงผู้เล่นเป็นรายใหญ่ ทิศทางจะเป็นกระแส Prosumer ผู้ใช้ไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าได้เอง กระจายการผลิตพลังงานสู่ชุมชน เป็นนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนโดยอาศัยจุดแข็งที่แต่ละชุมชนมีวัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิง เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด มาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าแทนที่จะเผาทิ้งเกิดฝุ่น PM2.5 ซึ่งหลังจากนี้ จะสนับสนุนเชื้อเพลิงจากขยะเพื่อนำมาผลิตเป็นไฟฟ้าในลำดับต่อไป

จ่อตั้งคณะกรรมการร่วม ไทย-กัมพูชา เจรจาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งปิโตรเลียม

                                          นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

อีกทั้ง การแก้ปัญหาสินค้าเกษตรของประเทศ  กระทรวงฯได้นำร่องด้วยการปรับสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มดิบในดีเซล เป็น B10 เพื่อเป็นดีเซลพื้นฐานแทน B7 จะประกาศใช้ทั่วประเทศวันที่ 1 มกราคม .2563 เป็นต้นไป ซึ่งช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบได้ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั่วประเทศ โดยกระทรวงฯจะทำหน้าที่ดูแลสต็อกของไบโอดีเซล (B100) เพื่อสร้างเสถียรภาพราคาปาล์ม  หลังจากนี้พืชพลังงานถัดไปที่จะเข้ามาดูแลคือ อ้อยและมันสำปะหลังที่ใช้ผลิตเป็นเอทานอลผสมในน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์

 

รวมทั้ง การวางประเทศไทยเป็น Leader ด้านพลังงาน 2 เรื่องคือ 1.การเป็นศูนกลางหรือฮับ (Hub) ด้านการซื้อขายไฟฟ้าอาเซียน โดยซื้อไฟจากสปป.ลาวจำหน่ายให้แก่ เมียนมา กัมพูชา มาเลเซีย เปลี่ยนบทบาทให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นเทรดเดอร์ภูมิภาค 2.การเป็นฮับด้านก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในภูมิภาค โดยปตท.ได้ประกาศความพร้อมดังกล่าวแล้ว

จ่อตั้งคณะกรรมการร่วม ไทย-กัมพูชา เจรจาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งปิโตรเลียม

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงต่อข้อสงสัยของกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับงบประมาณของกระทรวงฯ ด้วยว่าได้รับงบประมาณจัดสรรน้อยเพียง 2 พันกว่าล้านบาท คิดเป็น 0.07% ของงบประมาณแผ่นดินรวม แต่สามารถสร้างรายได้กลับมาได้มากราว 10% ของงบประมาณ อย่างไรก็ดี การสนับสนุนตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนจะไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแต่อย่างใด โดยโรงไฟฟ้าชุมชนจะมีโมเดล 3 รูปแบบ คือ โมเดลที่เอกชนลงทุนร่วมกับชุมชน โมเดลที่ผลิตใช้เองอย่างเดียวสำหรับชุมชน จะมีงบจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุน และโมเดลโรงไฟฟ้าขยะ โดยบริหารจัดการองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.)

 

ส่วนประเด็นพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา  จะเร่งรัดการฟื้นการเจรจาตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อหาแนวทางการพัฒนาแหล่งพลังงานร่วมกัน ส่วนการรื้อถอนของแหล่งสัมปทานที่กำลังหมดอายุอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาทางออกโดยหลีกเลี่ยงการเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ

จ่อตั้งคณะกรรมการร่วม ไทย-กัมพูชา เจรจาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งปิโตรเลียม

ที่สำคัญได้ชี้ให้เห็นถึงทิศทางสำคัญของนโยบายพลังงานที่สอดคล้องกับทิศทางโลกให้คณะกรรมาธิการฯ ด้วยว่า การใช้พลังงานทดแทนจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น การใส่ใจต่อประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาดำเนินการเพื่อเปลี่ยนผ่านในยุค Disruption โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งชณะนี้อยู่ระหว่างหารือกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันแผน EV ของประเทศทั้งระบบออกมาช่วงต้นปีหน้า 2563 โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน Energy Storage เพื่อผลักดันให้ประเทศเป็นผู้นำด้าน EV ในระดับภูมิภาคต่อไป