***คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,077 ระหว่างวันที่ 9-12 มี.ค. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจยามนี้ น่าจับตาไปที่ “เศรษฐกิจโลก” อันจะมีผลกระทบมาถึง “เศรษฐกิจไทย” ด้วย โดยเฉพาะผลพวงที่ลามมาจากนโยบาย “America First” ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพราะล่าสุด “ทรัมป์ 2.0” ได้เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับ แคนาดา และ “America First” 25% โดยมีผลตั้งแต่วันอังคารที่ 4 มี.ค.นี้ เป็นต้นไป ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วน หุ้นร่วงหนัก ขณะที่ค่าเงิน เปโซเม็กซิโก และ ดอลลาร์แคนาดา ก็อ่อนค่าลงทันที
“ทรัมป์” กล่าวอย่างชัดเจนว่า "ไม่มีที่ว่างสำหรับข้อตกลงใดๆ อีกแล้ว" โดยอ้างว่า มาตรการขึ้นภาษีครั้งนี้ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกดดันให้เม็กซิโก จัดการกับการลักลอบนำเข้ายาเฟนทานิล ที่เป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐ พร้อมกับประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจาก จีน เพิ่มเป็น 20% จากเดิม 10% เพื่อลงโทษปักกิ่งที่ไม่สามารถยับยั้งการส่งออกเฟนทานิลไปยังสหรัฐได้ แต่ แคนาดา และเม็กซิโก ไม่อยู่เฉย โดยนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดา ประกาศตอบโต้ทันที ด้วยการเก็บภาษี 25% กับสินค้าสหรัฐ มูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา (ประมาณ 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเริ่มมีผลในวันเดียวกับที่ทรัมป์บังคับใช้ภาษี
*** เช่นเดียวกับ “จีน” ที่ไม่อยู่นิ่งเฉย ได้ประกาศขึ้นภาษีสูงสุด 15% กับสินค้าสหรัฐ หลายรายการ รวมถึงสินค้าทางการเกษตรอย่างข้าวโพด และถั่วเหลือง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.นี้ มาตรการตอบโต้นี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่สหรัฐ ประกาศภาษีนำเข้าใหม่ 10% กับสินค้าจีน ซึ่งส่งผลให้ยอดภาษีนำเข้ารวมจากจีนพุ่งขึ้นถึง 33% จากเดิมเพียง 13%
...แม้ว่าการตอบโต้กันเช่นนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติในการเผชิญหน้าระหว่าง 2 มหาอำนาจ แต่ “จีน”ยืนยันว่า จะไม่ยอมให้มีการข่มขู่หรือกดดันจากสหรัฐ หลู่ ฉินเจียน (Lou Qinjian) โฆษกของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า "จีนจะไม่ยอมรับการบีบบังคับจากสหรัฐ"
*** สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจไทย” อย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย ขณะที่สหรัฐ เป็นประเทศปลายทางการของการส่งออกสำคัญของไทย โดยไทยเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐ ในลำดับที่ 11
*** รศ.ดร.ชโยดม สรรพศรี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ในหัวข้อ “การส่งออกที่ดีวันนี้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายหรือไม่” คาดการณ์ว่า ไทยน่าจะตกเป็นเป้าของสหรัฐ อีกทั้งไทยมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตราที่ค่อนข้างสูง เพราะเป็นประเทศกำลังพัฒนา เมื่อเทียบกับสหรัฐที่เก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำมาก
ที่ผ่านมาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ การเติบโตค่อนข้างสูง สินค้าส่งออกหลักที่ไทยส่งไปยังสหรัฐนั้น ประกอบไปด้วย โทรศัพท์ไร้สายและชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์ และฮาร์ดดิสก์ ยางล้อรถยนต์ แผงโซล่า สแตติกคอนเวอร์เตอร์ และ ชิ้นส่วนของเครื่องจักร
สินค้าเหล่านี้ พึ่งพาส่งออกไปสหรัฐมากกว่าร้อยละ 40 ของที่ไทยส่งออก แผงโซล่านั้นพึ่งพาตลาดสหรัฐมากที่สุด ถึงร้อยละ 70 ของที่ไทยส่งออก และเป็นสินค้าที่จีนย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ตามนโยบาย China+1 สหรัฐอเมริกาคงไม่ยอมให้ลอดสายตาไปได้ง่ายๆ
หากไทยถูกบีบให้ลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ผลกระทบที่ตามมาจะเยอะกว่าที่คิด เพราะการลดภาษีดังกล่าว จะมีผลต่อการลดภาษีนำเข้าให้คู่ค้าอื่นๆ (ที่ยังไม่มีข้อตกลงการค้าเสรีกับไทย) เช่นกัน ด้วยเหตุผลของหลักการไม่เลือกปฏิบัติ (Most Favored Nation) ขององค์กรการค้าโลก หากไทยต่อรองไม่สำเร็จ ก็จะโดนภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐอเมริกาอีก
*** เงียบไปนานสำหรับ กรณีชดใช้โครงการจำนำข้าว ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีปล่อยให้มีการทุจริต และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 ประวิตร บุญเทียม รองประธานศาลปกครองสูงสุด ออกมาอัพเดทความคืบหน้าว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากมีโครงการจำนำข้าวแล้วขายแบบจีทูจี แล้วปรากฏว่า ทางป.ป.ช.ได้วินิจฉัยว่าเกิดความเสียหาย และได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิด และเห็นว่า ความเสียหายในส่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดชอบมีประมาณ 178,000 ล้านบาท
แต่คณะกรรมการวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้รับผิดชอบ 35,000 ล้านบาท และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มาฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งให้รับผิดนี้ ซึ่งเรื่องนี้มี 4 โครงการ ทางศาลชั้นต้นก็วินิจฉัยกรณีความรับผิดว่า เป็นเรื่องการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในฐานะนายกฯ ได้ตั้งคณะกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทั้งหลาย ที่ได้หารือถึงการกำหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตจำนำข้าว ฉะนั้น ความผิดจึงไม่ได้มีเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพียงคนเดียว และเป็นความผิดในเรื่องของนโยบาย
ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงเพิกถอน คำสั่งที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ฟ้องคดีชดใช้สินไหมทดแทน 35,000 ล้านบาท ทางผู้ฟ้องก็ได้อุทธรณ์ ซึ่งคดีก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด โดยคดีนี้มีการอุทธรณ์กันมานานพอสมควร เชื่อว่าจะไม่นาน เพราะคดีตั้งเเต่ปี 2564 และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ เพราะคดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว
ส่วนในคดีนี้ที่มีเจ้าหน้าที่จำนวน 5 คน คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นายภูมิ สาระผล นายมนัส สร้อยพลอย นายทิฆัมพร นาทวรทัต และ นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ ได้รับคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมเช่นเดียวกัน ซึ่งคดีก็อยู่ในชั้นอุทธรณ์ของศาลปกครอง ดังนั้น คดีทั้งสองยังไม่ถึงที่สุด...