"ซื้อหนี้ประชาชน" แก้วิกฤต NPL หนี้ครัวเรือน 1.2 ล้านล้าน?

18 มี.ค. 2568 | 14:31 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มี.ค. 2568 | 09:07 น.
503

เจาะลึกแนวคิด "ซื้อหนี้ประชาชน" ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เสนอแก้ปัญหา NPL หนี้ครัวเรือนไทยกว่า 89% ของ GDP โดยไม่ใช้งบรัฐ เปรียบเทียบโมเดล บสท. ปี 2540 กับความท้าทายปัจจุบัน

แนวคิด "ซื้อหนี้ประชาชน" ออกจากระบบธนาคารที่เสนอโดย "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 ได้รับการตอบรับในเชิงบวกจาก "พิชัย ชุณหวชิร" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

"ทักษิณ" ระบุถึงแนวคิดการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือน โดยเสนอให้มีการซื้อหนี้ของประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อนชำระในอัตราที่ลดลง พร้อมล้างประวัติเครดิตบูโรเพื่อให้ประชาชนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐแม้แต่บาทเดียว เพราะตนสามารถดึงภาคเอกชนเข้ามาลงทุนได้

ขณะที่นายพิชัย ให้ความเห็นต่อแนวคิดดังกล่าวว่า เป็นการแก้ปัญหาในลักษณะการปรับโครงสร้างหนี้ คล้ายกับวิธีการที่เคยใช้หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ต้องแยกบัญชีระหว่างหนี้ดีและหนี้เสียออกจากกัน

โดยอาจจะมีการจัดตั้งหน่วยบริหารหนี้ด้อยคุณภาพขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างสถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าของหนี้ และรัฐบาลจะช่วยในการบริหาร โดยอาจมีภาคเอกชนที่สนใจเข้ามาร่วมบริหารด้วย

นายพิชัย ระบุชัดเจนว่า รัฐบาลจะดำเนินการเฉพาะกับหนี้เสียหรือ NPL เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับหนี้ที่ยังมีคุณภาพดี แต่ต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้ส่วนบุคคล

รัฐบาลจะหารือกับสมาคมธนาคารไทยเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย และยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ ที่จะต้องพิจารณาในรายละเอียดต่อไป

ภาพรวมและความท้าทายของหนี้ครัวเรือนไทย

เมื่อพิจารณาข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)พบว่า หนี้สินครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 มีมูลค่ารวมถึง 16.34 ล้านล้านบาท คิดเป็น 89% ของ GDP นับเป็นตัวเลขที่น่าวิตกและสะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาที่ครัวเรือนไทยกำลังเผชิญอยู่

โครงสร้างหนี้ครัวเรือนไทย

โครงสร้างของหนี้ส่วนใหญ่กระจุกตัวในสินเชื่อที่อยู่อาศัย 5.6 ล้านล้านบาท สินเชื่อส่วนบุคคล 3.3 ล้านล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ 2.9 ล้านล้านบาท ตามด้วยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาระหนี้ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของประชาชน

ที่น่าสนใจคือสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่สูงถึง 1.20 ล้านล้านบาท หรือ 8.78% ของสินเชื่อรวม โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อประเภท "อื่นๆ" ที่มี NPLs สูงถึง 19.79% ตามมาด้วยสินเชื่อบัตรเครดิต (12.58%) และสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ (12.25%) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนมีปัญหาในการชำระหนี้ในวงกว้าง

NPLหนี้ครัวเรือนไทย

บทเรียนจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย กับแนวคิด "ซื้อหนี้" ในปัจจุบัน

แนวคิด "ซื้อหนี้" ของนายทักษิณในครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับโมเดลของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ที่เคยจัดตั้งขึ้นหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายแรกของรัฐบาลทักษิณในสมัยนั้น

จากข้อมูลประวัติศาสตร์พบว่า บสท. ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากสถาบันการเงินได้ถึง 98% ของมูลค่าทั้งหมด 777,173 ล้านบาท

“ทักษิณ” เคยกล่าวในปาฐกถาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2547 ว่า แนวคิดในการแก้ปัญหาหนี้แบบ บสท. นั้นแตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อนที่มองปัญหาในมุมของ "สัปเหร่อ" ที่รอให้กิจการตายแล้วจึงจัดการ

แต่แนวคิดของรัฐบาลทักษิณเป็นแนวคิดแบบ "หมอ" ที่พยายามรักษาให้กิจการอยู่รอดและกลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดตะวันตกในด้านความโปร่งใสและความเป็นมืออาชีพ กับแนวคิดตะวันออกที่มีความเอื้ออาทรและมองทุกอย่างเป็นสินทรัพย์ของประเทศ

ถามว่าการแก้ปัญหาหนี้ของ บสท. ประสบความสำเร็จหรือไม่ จากมูลค่ารวมของหนี้ที่มีข้อยุติทั้งหมด 767,058 ล้านบาท มีลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้มากถึง 525,942 ล้านบาท หรือประมาณ 69% ของลูกหนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบปกติ โดยอัตราการรับชำระหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 48.92% สูงกว่าต้นทุนที่ บสท. รับโอนจากสถาบันการเงินที่ 34.29%

สถานการณ์วิกฤตปี 2540 กับปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่า บริบทการแก้ปัญหาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 กับสถานการณ์ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันหลายด้าน เพราะวิกฤตปี 2540 เป็นวิกฤตของระบบสถาบันการเงินโดยตรง ขณะที่ปัจจุบันเป็นวิกฤตหนี้ครัวเรือนที่สะสมมานาน

การแก้ปัญหาสมัยนั้น หนี้ที่ บสท. รับโอนส่วนใหญ่เป็นหนี้ของภาคธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลาง ขณะที่วิกฤตหนี้ในปัจจุบันกระจายตัวในหนี้รายย่อยและหนี้ครัวเรือนที่มีจำนวนมาก

นอกจากนี้การจัดตั้งบสท.ขึ้นมาแก้ปัญหาหนี้ในอดีต ก็ใช้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งเป็นเงินของรัฐ และมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหนี้ด้อยคุณภาพที่สถาบันการเงินไม่สามารถบริหารจัดการได้ แต่แนวคิดใหม่ของนายทักษิณเน้นการใช้เงินทุนจากภาคเอกชนในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพรวม

วิเคราะห์แนวคิด "ซื้อหนี้" ในบริบทปัจจุบัน

แนวคิด "ซื้อหนี้" ของนายทักษิณในครั้งนี้มีความน่าสนใจ แต่ก็มีหลายประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ประเด็นแรก คือ ขนาดของปัญหาNPLs ปัจจุบันมัมูลค่า 1.20 ล้านล้านบาท การดึงภาคเอกชนมาลงทุนโดยไม่ใช้งบประมาณภาครัฐมีความท้าทายสูง เพราะเอกชนย่อมต้องการผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งอาจขัดแย้งกับแนวคิดการลดภาระให้ประชาชน เพราะการล้างประวัติเครดิตบูโรอาจสร้างแรงจูงใจผิดๆ ให้ประชาชนก่อหนี้มากเกินไปโดยหวังว่าจะมีการล้างหนี้ในอนาคต เหมือนที่ บสท. ในอดีตก็เผชิญกับปัญหาลูกหนี้บางรายที่ไม่เร่งปรับตัว

ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าหนี้ประเภทใดและในสถานการณ์ใดที่จะได้รับการช่วยเหลือ โดยอาจเริ่มจากหนี้รายย่อยที่มีมูลค่าไม่สูงมากแต่มีจำนวนลูกหนี้มาก ตามแนวทางที่ บสท. ในอดีตได้เน้นช่วยเหลือในช่วงท้ายของการดำเนินงาน

นอกจากนี้ควรมีการกำหนดโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน หากต้องการดึงภาคเอกชนมาร่วมลงทุน ต้องมีการออกแบบเครื่องมือทางการเงินที่สร้างแรงจูงใจให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยอาจใช้รูปแบบการค้ำประกันบางส่วนจากภาครัฐหรือการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

ที่สำคัญคือ ควรมีการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้ เพื่อป้องกันการก่อหนี้เกินตัวในอนาคต

แนวคิด "ซื้อหนี้" ของนายทักษิณแม้ว่าจะแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน หากประยุกต์ใช้บทเรียนความสำเร็จของ บสท. ในอดีต ก็อาจช่วยบรรเทาวิกฤตหนี้ครัวเรือนที่กำลังเผชิญอยู่ได้

แต่คำถามสำคัญที่ยังรอคำตอบคือ รูปแบบการ "ซื้อหนี้" ในครั้งนี้จะสามารถสร้าง "Trust" และ "Confidence" ตามที่นายทักษิณเคยเน้นย้ำว่าเป็นคำสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่?

การนำภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนโดยไม่ใช้งบประมาณภาครัฐจะมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติเพียงใด?

ท้ายที่สุด แนวทางนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน หรือเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางการคลังในระยะยาว?

รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีคำตอบของคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจน