เรื่องดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการกลุ่มอลูมิเนียม โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาจะได้รับผลกระทบในภาพรวมอุตสาหกรรม และอาจลามถึง GDP ของประเทศ หากไม่มีแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
ต่อเรื่องนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายธีรพันธุ์ พิมพ์ทอง ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ถึงภาพรวมอุตสาหกรรม ผลกระทบที่กำลังจะตามมาและแนวทางที่อยากให้รัฐบาลได้ช่วยเร่งแก้ไขปัญหา
นายธีรพันธุ์ ฉายภาพรวมในปี 2567 ที่ผ่านมาว่า ผู้ประกอบการภายในประเทศทั้งอลูมิเนียมแผ่นและอลูมิเนียมอัดขึ้นรูปหรืออลูมิเนียมเส้นหน้าตัด มีการผลิตสูงกว่าปี 2566 ถึง 11% สำหรับผู้ผลิตอลูมิเนียมแผ่นจำนวน 5 รายใหญ่ มีกำลังการผลิต 410,000 ตัน แต่ทำการผลิตจริง 350,000 ตัน ซึ่งเท่ากับ 86% ของกำลังผลิตในปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นการขายในประเทศสัดส่วนประมาณ 40% และส่งออกประมาณ 60% โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และอินเดีย เป็นหลัก
ส่วนอลูมิเนียมเส้นหน้าตัดมีทั้งผู้หลอมและหล่อบิลเลต ตลอดจนผู้รีดอัดขึ้นรูป ซึ่งมีทั้งรายเล็ก กลางและใหญ่ร่วม 45 ราย มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 300,000 ตัน แต่ทำการผลิตจริงเพียง 178,000 ตัน เท่ากับ 59% ของกำลังผลิต ใกล้เคียงกับการผลิตในปีก่อนหน้า แบ่งเป็นขายภายในประเทศ 62 % และส่งออก 38% โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย เป็นหลัก
ดังนั้นการผลิตโดยรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม รวมทั้งแผ่นและเส้นหน้าตัด มีกำลังการผลิตรวมทั้งหมด 710,000 ตัน แต่ทำการผลิตจริง 528,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75% ของกำลังผลิตในภาพรวมปี 2567 โดยมีมูลค่าการตลาดโดยรวมประมาณ 80,000 ล้านบาท
นายธีรพันธุ์ กล่าวถึง ช่วงเวลาในการใช้มาตรการทางภาษีเริ่มมาตั้งแต่ทรัมป์สมัยแรกในปี 2561 ที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าอลูมิเนียม 10% แต่มีมาตรการยกเว้นในส่วน Section 232 จากนั้นในช่วงปี 2563 ได้มีการยกเลิก Section 232 ออกไป และเริ่มนำกลับมาใช้อีกครั้งเผื่อยกเว้นภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 แต่หลังจากรัฐบาลทรัมป์เข้ามาบริหารประเทศ ได้มองถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอลูมิเนียมต้นนํ้า โดยเฉพาะโรงงานเกี่ยวกับโรงถลุงแร่บอกไซด์ (Smelter) ในอเมริกา
จึงได้มีการประกาศเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ให้เพิ่มภาษีนำเข้าอลูมิเนียมจาก 10% ที่มีมาตรการยกเว้นในส่วน Section 232 เป็น 25% โดยยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีตาม Section 232 ทุกประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่จะถึงนี้ทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบไม่เพียงแค่อุตสาหกรรมอลูมิเนียมแผ่น อลูมิเนียมอัดขึ้นรูปหรืออลูมิเนียมเส้นหน้าตัดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมหล่ออลูมิเนียมด้วย เนื่องจากมาตรการมีความรุนแรงและกรอบเวลากระชั้นชิดมาก หากไทยไม่สามารถหามาตรการรองรับได้ทันท่วงที คาดจะส่งผลกระทบ GDP ของประเทศในปีนี้
สำหรับตัวเลขการส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมทุกหมวดของไทยไปสหรัฐปี 2567 มีปริมาณ 111,381 ตัน มูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2566 ถึง 63% และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นไปใกล้เคียงปี 2565 ที่มีปริมาณ 164,927 ตัน มูลค่ากว่า 27,000 บาท หากไม่มีมาตรการขึ้นภาษี 25% ของสหรัฐในยุคทรัมป์ 2.0
ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 20% ของมูลค่าการส่งออกอลูมิเนียมทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าร่วม 100,000 ล้านบาท คาดจะมีผลกระทบกับ GDP ของประเทศในปีนี้อย่างแน่นอน หากไม่มีมาตรการขอยกเว้นการขึ้นภาษีของทรัมป์อย่างทันท่วงที
สำหรับเคลื่อนไหวของกลุ่มอลูมิเนียมเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทางกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้มีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เข้าร่วมประชุมด้วย โดยทางกลุ่มฯได้แจ้งผลกระทบและความเร่งด่วนในเรื่องนี้ต่อที่ประชุม ซึ่งคาดจะส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมอลูมิเนียม โดยขอให้สหรัฐยกเว้นการขึ้นภาษีอลูมิเนียม 25% ทันที พร้อมเสนอแผนระยะสั้น ดังนี้
1.ให้ภาครัฐพิจารณาการนำเข้าสินค้าอเมริกาเพิ่มขึ้น เช่น LNG เครื่องบินโบอิ้ง และระบบอาวุธต่าง ๆ
2.ขอเจรจาเกี่ยวกับแผนเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)
3.นำเสนอความเป็นหุ้นส่วนพิเศษทางธุรกิจที่ยาวนาน เนื่องจากไทยให้สิทธิพิเศษสำหรับอเมริกาในการถือหุ้นธุรกิจในประเทศไทยได้ 100%
“กลุ่มอลูมิเนียมได้ร้องขอความร่วมมือภาครัฐให้เร่งดำเนินการทำหนังสือผ่านทางท่านทูตพาณิชย์ สถานทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา เพื่อนำยื่นต่อรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อขอยกเว้นการใช้มาตรการนี้เป็นกรณีเร่งด่วน”
อย่างไรก็ตามหากสหรัฐยังคงเดินหน้าขึ้นภาษีจะรับมืออย่างไรบ้างนั้น ล่าสุดกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียมมีความมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถเจรจาต่อรองกับทางสหรัฐได้ ตลอดจนการพูดคุยกับสหรัฐในเวทีอาเซียน-สหรัฐ เพื่อสร้างนํ้าหนักในการพูดคุย เนื่องจากหลายประเทศจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน และเร่งการทำ FTA กับยุโรปเพื่อขยายตลาดใหม่ ๆ
ทั้งนี้อุตสาหกรรมอลูมิเนียมยากที่จะมีการปรับตัวในระยะสั้น เนื่องจากภาษีขึ้นสูงมากและเวลากระชั้นชิดมาก ขณะที่การปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าอย่างน้อยต้องใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ขณะที่ปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐมีสัดส่วนที่สูง การหาตลาดทดแทนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก นอกจากนี้คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากสินค้าจีนที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ย่อมระบายมาทางประเทศไทยซึ่งมีความต้องการผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
“ดังนั้นด้วยเงื่อนเรื่องเวลา จึงต้องขอความร่วมมือภาครัฐในการดำเนินการเจรจากับอเมริกาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนำมาตรการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) และมาตรการการอุดหนุน (CVD) มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อดูแลตลาดภายในประเทศ ก่อนจะสายเกินแก้”
สำหรับทิศทางอุตสาหกรรมอลูมิเนียมค่อนข้างหนักหนาสาหัส ถ้าไม่สามารถรักษาตลาดในอเมริกา ซึ่งการเปิดตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดอเมริกาค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากตลาดอเมริกามีขนาดใหญ่ และตลาดใหม่ต้องใช้การแข่งขันทางด้านราคา ตลอดจนความไม่แน่นอนสูง สำหรับผู้เล่นในระยะสั้นอาจจะยังคงเดิม ส่วนในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ การลดต้นทุนการผลิต และปรับตัวเข้ากับกระแสรักษ์โลก โดยเฉพาะการลดปริมาณคาร์บอนในผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความอยู่รอดของผู้ประกอบการในอนาคต