ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศทั่วโลกต่างตื่นตระหนกกับปรากฏการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นในบริเวณขั้วโลกใต้ "กระแสลมวนขั้วโลก" (Polar Vortex) ของแอนตาร์กติกากำลังแสดงสัญญาณของความไม่เสถียรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานกว่า 20 ปี ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้น
กระแสลมวนขั้วโลกเป็นระบบลมแรงในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่หมุนวนเหนือขั้วโลกเหนือและใต้ ทำหน้าที่เสมือน "กำแพงอากาศ" ที่กักเก็บอากาศเย็นไว้บริเวณขั้วโลก ป้องกันไม่ให้แพร่กระจายไปยังเขตละติจูดกลาง โดยปกติแล้วในช่วงเวลานี้ของปี กระแสลมวนขั้วโลกจะมีความเสถียรสูง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดจากการตรวจวัดพบว่า กระแสลมวนขั้วโลกใต้กำลังแสดงสัญญาณของความไม่เสถียรอย่างน่าวิตก โดยในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2024 พบว่าความเร็วของกระแสลมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหลือเพียง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้อากาศเย็นจากขั้วโลกถูกพัดออกมา และทำให้อุณหภูมิในแถบนั้นพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
สตีเวน คีทส์ จากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า "เราเริ่มเห็นภาวะโลกร้อนที่ชัดเจนในชั้นที่สูงที่สุดของสตราโตสเฟียร์" โดยเสริมว่าความเร็วลมได้ลดลงอีกครั้งในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เสถียรอย่างรุนแรง
ผลกระทบของปรากฏการณ์นี้อาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากกระแสลมวนขั้วโลกมีความเร็วที่ช้าเกินไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจนำไปสู่การแยกตัวของกระแสลม เนื่องจากอากาศร้อนสามารถแทรกแซงได้มากขึ้น ปรากฏการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในปี 2002 ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิของชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากเกิดการแยกตัวของกระแสลมวนขั้วโลกอีกครั้ง จะส่งผลให้อุณหภูมิพื้นดินของแอนตาร์กติกาสูงขึ้น และอาจทำให้ออสเตรเลียและอเมริกาใต้ต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนและภาวะแห้งแล้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ไซมอน ลี จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ สหราชอาณาจักร อธิบายว่า "บางครั้งการอุ่นขึ้นเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระแสลมรุนแรงขึ้นในภายหลังได้ เนื่องจากความผันผวนของกระแสวนแอนตาร์กติกมีขนาดเล็ก ถ้าเกิดอะไรผิดปกติขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถขยายใหญ่อย่างรวดเร็วกลายเป็นเหตุการณ์รุนแรงได้"
ชานเทล บลัชชุท จากมหาวิทยาลัยแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมของกระแสลมวนขั้วโลกใต้ ได้แสดงความคิดเห็นว่าโครงสร้างของกระแสลมในปีนี้มีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด โดยมีรูปแบบลมที่ยืดและบิดเบี้ยว "มีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้นในปีนี้"
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่ชัดว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เนื่องจากสภาพอากาศมีปัจจัยที่ซับซ้อนและหลากหลาย บางแบบจำลองระบุว่าความเร็วลมอาจกลับสู่ระดับปกติหรือสูงกว่าเดิมในเร็วๆ นี้ ในขณะที่บางแบบจำลองคาดการณ์ว่ากระแสลมจะยังคงช้าลงต่อไป
งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่เสถียรในกระแสลมวนขั้วโลก โดยพบว่าปริมาณน้ำแข็งในทะเลบริเวณขั้วโลกใต้มีปริมาณต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมาก โดยในปี 2023 ปริมาณน้ำแข็งลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวตลอดปี 2024 ซึ่งส่งผลให้กระแสลมพัดช้าลง
ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศในแถบขั้วโลกใต้เท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบสภาพอากาศทั่วโลก โดยเฉพาะในซีกโลกใต้ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบฝนและอุณหภูมิในหลายภูมิภาค
นักวิทยาศาสตร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเรียกร้องให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงของกระแสลมวนขั้วโลกและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ปรากฏการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระแสลมวนขั้วโลกใต้นี้ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนถึงความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญอยู่
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง