TOA ชูนวัตกรรมสีบ้านเย็น ‘ซุปเปอร์ชิลด์’ สีปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเผชิญกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และเข้าสู่ภาวะโลกเดือด หรือ Global Boiling จนทำให้ปีนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อนขึ้นเกือบ 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวันที่อุณหภูมิพุ่งทะลุกว่า 40 องศาเซลเซียส ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม เกิดภัยแล้ง พายุ น้ำท่วม

ตลอดจนส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ซึ่งหนึ่งผลกระทบที่สำคัญคือ ปัญหาบ้านร้อน อุณหภูมิภายในบ้านที่สูงขึ้น เพราะเกิดจากผนังบ้านสะสมความร้อนจากแสงแดดไว้ในช่วงเวลากลางวัน และค่อยๆ คายความร้อนออกมาในเวลากลางคืน จึงทำให้รู้สึกได้เลยว่าภายในบ้าน อากาศจะร้อนอบอ้าวมาก วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาบ้านร้อน ที่หลายคนอาจมองข้ามหรือไม่ทราบกัน ซึ่งสามารถลงมือทำได้เลย นั่นคือ การทาสีภายนอกบ้าน ด้วยสีซุปเปอร์ชิลด์ สีหนึ่งเดียวของไทย ชนะที่ 1 เรื่องความทน สะท้อนร้อน และมีมานานกว่า 45 ปี ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2522

โดย TOA เป็นผู้เปลี่ยนวงการตลาดสีทาบ้าน จากสีน้ำพลาสติก (PVAc Latex – Poly Vinyl Acetate Copolymer) มาเป็นสีน้ำอะคริลิก (Pure Acrylic 100%) เทคโนโลยีจากอเมริกา มาใช้ในสีซุปเปอร์ชิลด์เป็นรายแรก ของไทยที่ปลอดสารโลหะหนัก ปรอท ตะกั่ว และเป็นรายเดียวที่กล้ารับประกันการใช้งาน 15 ปี จนกลายเป็นสีทาภายนอก ที่ถูกเลือกใช้มากที่สุดในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตึกสูง อาคารชั้นนำ และเจ้าของบ้าน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ซึ่งเมื่อไม่นานนี้บริษัทได้เห็นข่าวจากสิงคโปร์ ที่เริ่มทำการทดลองเพื่อลดอุณหภูมิในเขตเมืองที่ร้อนขึ้น ด้วยการทาสี ที่มีส่วนผสมของสารไทเทเนียมไดออกไซต์ และสารแบเรียมซัลเฟต ช่วยเรื่องการสะท้อนแสงอาทิตย์และไม่กักเก็บความร้อน ผลปรากฎว่าเมื่อนำสีไปทาสามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคารได้ถึง 2 องศาเซลเซียส จนทำให้ผู้คนในประเทศไทยเริ่มตื่นตัว และหันมาศึกษานวัตกรรมสีทาบ้านที่จะช่วยลดอุณหภูมิในบ้านได้จริงเหมือนอย่างสิงคโปร์

ในประเทศไทย TOA ในฐานะผู้นำตลาดสีทาอาคารตัวจริงที่อยู่คู่คนไทยมา 60 ปี สามารถพูดอย่างภาคภูมิใจได้ว่า นวัตกรรมสีทาบ้านที่ช่วยให้บ้านเย็นนั้น ของไทยก็มีมานานมากแล้วกับสีซุปเปอร์ชิลด์ ด้วยเทคโนโลยีสีเย็น Cooling Paint ที่ได้ผสานเอา Triple Technology จาก 3 ส่วนประกอบสำคัญมาทำงานด้วยกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ 

1. ไทเทเนียมไดออกไซต์ ถือเป็นสารที่มีลักษณะอนุภาคสะท้อนแสงอาทิตย์ได้อย่างดีเยี่ยม และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ผลิตสีทาบ้านคุณภาพสูง ช่วยปกป้องวัสดุจากการถูกแสงอาทิตย์ทำลายผนังบ้าน
2. แบเรียมซัลเฟต กับบทบาทสำคัญที่ไม่เคยถูกเปิดเผย แต่มีส่วนสำคัญในการทำงานร่วมกับไทเทเนียมไดออกไซต์   ที่ช่วยเรื่องการสะท้อนแสงอาทิตย์ ทำให้ผนังบ้านไม่กักเก็บความร้อน จึงช่วยคายความร้อนได้เป็นอย่างดี และอุณหภูมิภายในบ้านเย็นลง
3. ซิลิกา ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความคงทนให้กับสีทาบ้าน เสมือนเสริมเกราะป้องกันให้ตัวบ้าน สามารถต้านทานกับสภาพอากาศที่รุนแรงทั้งแดด ลม ฝน ความชื้น และช่วยยืดอายุฟิล์มสีให้สวยคงทน ไม่ลอกล่อน ไม่เป็นฝุ่น ที่สำคัญยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการทาสีบ้านใหม่ได้นานนับกว่าสิบปี

 

 

ทั้งนี้ สีซุปเปอร์ชิลด์ได้ผ่านการการรับรองจากหลากหลายสถาบันชั้นนำ จนสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นสีบ้านเย็นตัวจริง รายแรกของไทย ไม่ว่าจะเป็นร่วมกับสถาบันวิจัย OTM ประเทศสิงคโปร์ จนได้การผลทดสอบว่าสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ได้อย่างดีเยี่ยม (Solar Reflectance) สูงถึง 97.5% และร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทำการทดสอบประสิทธิภาพในการคายความร้อนออกจากผนังบ้าน (Thermal Emittance) ได้สูงถึง 90% ตามมาตรฐาน ASTM C1371 และยังสามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านให้เย็นลง (Cool Down Temperature) ได้ถึง 5.5 องศาเซลเซียส ด้วยโปรแกรมการทดสอบ Energy Plus 

 

 

นอกจากนี้ สีซุปเปอร์ชิลด์ ยังเป็นนวัตกรรมสีปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และจัดอยู่ใน 40 ผลิตภัณฑ์ ของ TOA ที่ได้รับฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือฉลากลดโลกร้อน (CFR) ที่ผ่านการรับรองโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งหากคำนวณจากการทาสีซุปเปอร์ชิลด์กับบ้านหนึ่งหลัง พื้นที่ประมาณ 220 ตร.ม. จะสามารถช่วยโลก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 285 กรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (gCO2e) หรือคิดเป็นการทาสีบ้าน ด้วยสีชุปเปอร์ชิลด์ จำนวน 4 หลัง จะเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ได้ถึง 1 ต้น รวมทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน เซฟค่าไฟได้ถึง 9,000 บาทต่อปี

“และนี่จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความสำเร็จในการมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้ามาตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่เราใส่ใจต่อ ผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของ 7-Green Strategy เพื่อตอกย้ำ Green Mission การเดินหน้าพันธกิจ พิชิต Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยการบูรณาการและพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ตามหลัก ESG”