“สุดถนอม กรรณสูต” เบื้องหลังความเป็นอมตะของ“นมตรามะลิ” 

“นมตรามะลิ” แบรนด์ยอดขายอันดับ 1 ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานกว่า 60 ปี ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 โดยที่จุดกำเนิดของคำว่า ‘มะลิ’ มาจากการที่หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งไปแถวสี่แยกราชประสงค์ และพบผู้คนนำพวงมาลัยดอกมะลิ มากราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงคิดว่า ‘มะลิ’ น่าจะเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับสินค้าของไทย จึงนำมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์ให้กับผลิตภัณฑ์แรกของบริษัท

นางสุดถนอม กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มะลิ กรุ๊ป 1962 จำกัด เล่าให้ “ฐานเศรษฐกิจ” ฟังว่า จุดเริ่มต้นของนมตรามะลิอาจจะดูเรียบง่าย เพียงแค่กระป๋องนมข้นหวาน แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้นมตรามะลิก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดนมข้นหวานในประเทศไทยได้อย่างแข็งแกร่ง 

“เราไม่หยุดที่จะพัฒนา” คำพูดของ “สุดถนอม กรรณสูต” สะท้อน ให้เห็นถึงหัวใจสำคัญของความสำเร็จของนมตรามะลิ นั่นคือ การไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก จากกระป๋องนมที่เคยเป็นที่คุ้นเคย นมตรามะลิได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค 

“ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ต้องการความสะดวกสบาย เราก็ปรับมาเป็นหลอด ส่วนร้านค้าเราก็ใช้เป็นถุง” นี่คือคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำไมนมตรามะลิถึงยังคงเป็นที่รักของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย เพราะแบรนด์นี้เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้ตรงกับความต้องการนั้นเสมอ 

นอกจากการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์แล้ว นมตรามะลิยังคงมุ่งมั่นพัฒนารสชาติใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบลองสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ 

การศึกษาตลาดเป็นสิ่งที่นมตรามะลิให้ความสำคัญและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ทางการตลาด การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยและความเปลี่ยนแปลงของตลาด เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นมตรามะลิสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งการนำนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตช่วยให้นมตรามะลิสร้างความแตกต่างและสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค นั่นคือเคล็ดลับความสำเร็จของ“นมตรามะลิ” ที่นางสุดถนอมบอกเล่าให้ฟัง

นมตรามะลิให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค โดยการสื่อสารและทำความเข้าใจความต้องการของพวกเขาการทำงานร่วมกันของทีมงานที่มีความหลากหลาย ทำให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ และช่วยผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้า 

“สุดถนอม”กล่าวในฐานะผู้บริหารหญิงท่านหนึ่งว่า มองว่า ยุคสมัยนี้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้แสดงศักยภาพและความสามารถในบทบาทผู้นำมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จุดแข็งของผู้บริหารหญิงที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ “ความละเอียดอ่อนในการทำงาน” ผู้หญิงเรามักจะมีความคิดที่รอบคอบ ใส่ใจในรายละเอียด และมีความเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากในการบริหารจัดการคนและองค์กร 

นอกจากนี้ การที่องค์กรมีความหลากหลายทางเพศ ก็จะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์และสิ่งใหม่ๆ เมื่อมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงมาร่วมกันทำงาน ก็จะเกิดมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำไปสู่การพัฒนาองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การเป็นผู้บริหารหญิงในยุคปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยโอกาส โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์กับลูกค้าและพนักงาน ‘ความอ่อนโยน’ เปรียบเสมือนจุดเด่นของผู้หญิงและข้อได้เปรียบในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกฝ่าย ส่วนประสบการณ์ในการเป็นทั้งผู้บริหารและคุณแม่ ทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของการให้โอกาส การเรียนรู้ และการส่งเสริมพนักงานทุกคนให้เติบโต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนทำได้ดีในเรื่องนี้

เมื่อถูกถามถึงอุปสรรคที่ผู้บริหารหญิงอาจต้องเผชิญ “สุดถนอม” กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ในยุคปัจจุบัน ผู้หญิงมีความสามารถในการทำงานที่หลากหลายไม่แพ้ผู้ชายเลย จึงไม่ค่อยมีข้อจำกัดอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของผู้หญิงอีกแล้ว อีกทั้งความหลากหลายทางเพศในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน และการมีทั้งผู้หญิงกับผู้ชายทำงานร่วมกัน จะทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งที่ดีในการตัดสินใจ เพราะเราจะได้พิจารณาปัญหาจากหลายมุมมากขึ้น” 

ถ้าจะให้นิยามความเป็นตัวตนของ “สุดถนอม” มันก็คือ การทำงานอย่างเต็มที่ อดทน และตรงต่อเวลา แล้วก็พยายามที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างคือการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ทำงานเป็นทีมได้อย่างราบรื่น นั้นคือความเป็นตนเองที่ใช้มาตลอดการทำงาน 

จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จของนมตรามะลิสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัว การเข้าใจผู้บริโภค และการมีทีมงานที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรทุกแห่งควรนำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันบทบาทของผู้หญิงและความหลากหลายทางเพศในองค์กรก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน