ตลาดน้ำอัดลม 6.6 หมื่นล้านบาท เปิดศึกชิงกำลังซื้อหน้าร้อน! แบรนด์ยักษ์ใหญ่ โค้ก-เป๊ปซี่- เอส-บิ๊กโคล่า งัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม สนั่นตลาด "ฐานเศรษฐกิจ" จะพาทุกคนเจาะลึกตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม และส่องโปรโมชั่นรับลมร้อนแบรนด์ดัง
ต้อนรับอุณหภูมิที่สูงขึ้น ตลาดน้ำอัดลมในปี 2568 กลับมาทวีความคึกคักอีกครั้ง เมื่อบรรดาแบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่างพร้อมใจกันเปิดเกมรุกช่วงชิงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่กำลังมองหาเครื่องดื่มดับกระหายคลายร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องทางร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า ที่ต่างเห็นพ้องต้องกันในการจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม อย่างดุเดือด
"ซ่า สดชื่น...คลายร้อน" ยังคงเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่แบรนด์น้ำอัดลมต่างๆ ใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภคในช่วงฤดูร้อนนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือกลยุทธ์ด้านราคาที่แต่ละแบรนด์ต่างงัดออกมาแข่งขันกันอย่างเข้มข้น สังเกตได้ชัดเจนจากการเดินสำรวจตามร้านค้าต่างๆ ที่พบว่ามีการ "ลดราคาต่อขวด" โดยเฉลี่ย 5-10 บาท เลยทีเดียว
การปรับลดราคาครั้งใหญ่นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่างๆ ในการกระตุ้นยอดขายในช่วงเวลาสำคัญของปี แม้ว่าเทรนด์การใส่ใจสุขภาพจะยังคงมีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อของผู้บริโภค แต่ความต้องการเครื่องดื่มซ่าเย็นชื่นใจเพื่อดับกระหายในหน้าร้อนก็ยังคงสูง ทำให้การแข่งขันด้านราคาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ไม่สามารถมองข้ามได้
ตลาดน้ำอัดลม มีมูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาท มูลค่ามหาศาลนี้ ยังคงเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่สูง และปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น ภาษีความหวาน ก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดต้องเผชิญและบริหารจัดการ ส่องตลาดน้ำอัดลมไทยใครเป็นผู้นำผู้ตามกันบ้าง
นายอนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2568 ประกาศแผนขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ในปี 2568 ครอบคลุม 4 กลุ่มเครื่องดื่มหลัก ได้แก่ ชาพร้อมดื่ม, กาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม, เครื่องดื่มให้พลังงาน และน้ำอัดลม รวม 10 แบรนด์ดัง อาทิ Pepsi, Mirinda, Lipton, Aquafina, TEA+, BOSS Coffee, Rockstar ,สตริงค์ และ Gatorade
โดยตลาดน้ำอัดลม ซึ่งมีการเติบโต 2.7% นั้น เป๊ปซี่โคฯ สำหรับเทรนด์ตลาดเครื่องดื่มในปี 2568 คาดการณ์ว่าน้ำดำจะยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 72% ของน้ำอัดลม, และวัดส่วนราว 38% เป็นของตลาดน้ำสี แต่ตลาดเครื่องดื่มโลว์ชูการ์จะเติบโตกว่าเครื่องดื่มทั่วไปถึง 3 เท่า กลุ่มกาแฟและชาพร้อมดื่มเติบโต 11% ในปี 2567 และกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงานพรีเมียมมีการเติบโตถึง 5 เท่า
ในส่วนของแบรนด์ "เป๊ปซี่" ซึ่งเป็นแบรนด์เรือธง ยังคงมีการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นการสร้าง Engagement กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น เป๊ปซี่รสบ๊วยญี่ปุ่น เพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z พร้อมทั้งมีกิจกรรมตลอดทั้งปีตั้งแต่ซัมเมอร์จนถึงสิ้นปี ส่วนแบรนด์อื่นๆ ในพอร์ต เช่น มิรินด้า และเซเว่นอัพ ก็เตรียมมีสินค้าใหม่ๆ ในปีนี้เช่นกัน และช่วงซัมเมอร์ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นที่ทำรายได้ราว 30% ของทั้งปี
ทางด้าน นายชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม "บิ๊กโคล่า" เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” เทรนด์ของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ตลาดสินค้าโลว์ชูการ์มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยปัจจุบันตลาดน้ำอัดลมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ต้องการความสดชื่น และกลุ่มที่บริโภคน้ำตาลน้อย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10% แต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ในส่วนของพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมของผู้บริโภคนั้น ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการเติบโตแบบคงที่ปีละ 2-3% โดยตลาดน้ำดำมีสัดส่วนประมาณ 85% ของตลาดรวมน้ำอัดลมทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ตลาดน้ำอัดลมในช่วงซัมเมอร์ถือเป็นช่วงไฮซีซั่น ยิ่งอากาศร้อนยิ่งขายดี โดยยอดขายในช่วง 3 เดือนนี้ คิดเป็นกว่า 30% ของยอดขายทั้งปี สำหรับการแข่งขันในตลาดน้ำอัดลมนั้น ปัจจุบันเน้นไปที่เรื่องของแบรนด์อแวร์เนส รสชาติ และโปรโมชั่นต่างๆ เนื่องจากแบรนด์ผู้นำในตลาดต่างมีแบรนด์รอยัลตี้ที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ นายชนินทร์ยังกล่าวถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น 3-5% จากปัจจัยต่างๆ โดยรวม แต่บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคต่อไป ยันไม่มีการปรับราคาสินค้ามานานกว่า 17 ปี
จับตาดูว่าแบรนด์ใดจะสามารถคว้าใจผู้บริโภคด้วยโปรโมชั่นสุดโดนใจ และใครจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดน้ำอัดลมช่วงซัมเมอร์นี้ได้ ต้องติดตามดูกันต่อไป!