ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงในบริบทโลก ทั้งความตึงเครียดทางการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายการศึกษาที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศตะวันตก ได้ผลักดันให้นักเรียนชาวจีนมองมายังอาเซียนในฐานะจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับการศึกษา โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีการเพิ่มขึ้นของนักเรียนและนักศึกษาจีนจำนวนมาก
จากข้อมูลในปี 2565 พบว่านักศึกษาต่างชาติที่เรียนในไทยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจีน โดยมีจำนวนถึง 21,419 คน เพิ่มขึ้นถึง 130% จาก 9,329 คนในปี 2555 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลจากระบบการศึกษาที่เปิดกว้าง ค่าเล่าเรียนที่ต่ำกว่า และการดำเนินการด้านวีซ่าที่ไม่ซับซ้อน
นอกจากประเทศไทยแล้ว มาเลเซียและสิงคโปร์ก็ได้รับความนิยมจากนักเรียนจีนเช่นกัน ในไตรมาสที่สองของปี 2566 มาเลเซียมีจำนวนนักเรียนจีนสมัครเรียนเพิ่มขึ้นถึง 4,700 คน คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้า ขณะที่สิงคโปร์มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 73,200 คน โดยครึ่งหนึ่งเป็นนักศึกษาจีน
ปัจจัยที่ทำให้อาเซียนกลายเป็นตัวเลือกสำคัญประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่จับต้องได้ อาทิ ค่าศึกษาระดับปริญญาโทในประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150,000 หยวน หรือราว 700,000 บาทสำหรับสองปี ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในสหรัฐฯ ที่เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 200,000-350,000 หยวนต่อปี
อีกปัจจัยสำคัญคือความคุ้นเคยทางวัฒนธรรมและความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ นักศึกษาจีนหลายคนระบุว่าการศึกษาระดับอุดมศึกษาในอาเซียนช่วยลดความกดดันในระบบการแข่งขันที่รุนแรงในจีน ซึ่งมีเพียง 3 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถสอบเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยจีนได้
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยและอาเซียนจะได้รับความนิยม แต่ยังมีความกังขาในคุณภาพของการศึกษาในสายตาของคนจีนบางส่วน ที่เรียกปริญญาจากประเทศในภูมิภาคนี้ดู "ไม่แข็งแกร่ง" พอเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยในตะวันตก แต่สำหรับนักศึกษาจำนวนมาก การได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมใหม่และการเปิดโลกทัศน์เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า
ในปี 2567 ที่ถือเป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนประชาชนระหว่างจีนและอาเซียน ความร่วมมือด้านการศึกษายังได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้เรียนจีนในอาเซียนและนักเรียนอาเซียนในจีนรวมกว่า 175,000 คนในปี 2566
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าความร่วมมือทางการศึกษาไม่เพียงสร้างโอกาสให้กับนักเรียน แต่ยังส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างจีนกับอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ
ท้ายที่สุด แม้ภูมิภาคอาเซียนอาจยังไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกของนักเรียนจีนทุกคน แต่แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการศึกษาโลก และเปิดโอกาสให้อาเซียนกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาในอนาคต
อ้างอิง: Sixthtone, icer monitor, Sawasdee thailand, apnews