เปิดสูตร “ร้านอาหาร” ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อซบ จี้รัฐอัดฉีดมาตรการเพิ่ม

24 ก.พ. 2568 | 05:55 น.

สะท้อนมุมคิด “ฐนิวรรณ กุลมงคล” นายกสมาคมภัตตาคารไทย หลังตัวเลข GDP ไทยขยายตัว 2.8% ย้ำกำลังซื้อยังอยู่ในภาวะซบเซา แนะผู้ประกอบการฮึดสู้ปรับกลยุทธ์ ทั้งเพิ่มช่องทางหารายได้ บริหารต้นทุน อัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย วอนรัฐอัดฉีดมาตรการเพิ่ม เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด

หลังจากที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาระบุถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีว่า เศรษฐกิจไทย ในปี 2567 ขยายตัว 2.5% ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว อยู่ที่ 2.3 – 3.3% (ค่ากลางของการประมาณการอยู่ที่ 2.8%)

โดยการอุปโภคบริโภค จะขยายตัว 3.3% การลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัว 3.2% การส่งออกในรูปดอลลาร์ ขยายตัว 3.5% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย อยู่ในช่วง 0.5 - 1.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.5% ของ GDP ทำให้ถูกจับตามองว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการจ้างงาน

เปิดสูตร “ร้านอาหาร” ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อซบ จี้รัฐอัดฉีดมาตรการเพิ่ม

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยข้อมูลกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมของการจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันยังอยู่ในภาวะซบเซา หากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว จำเป็นต้องสร้างรายได้ให้กับประชาชน เพราะเมื่อประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน

“ธุรกิจร้านอาหารไม่สามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง มันเป็นผลพวงจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ถ้าผู้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความมั่นคงทางการเงิน

จะส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายในหลายด้าน เช่น การซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือแม้แต่การฉลองโอกาสสำคัญ ซึ่งการเฉลิมฉลองที่ง่ายที่สุดก็คือการรับประทานอาหารนอกบ้าน ร้านอาหารจึงมีรายได้เพิ่มขึ้น”

ค่าเช่าสถานที่และค่าจ้างพนักงาน ซึ่งเป็นภาระหลักของผู้ประกอบการ โดยทั่วไป ค่าเช่าร้านอาหารในทำเลดีมีราคาสูงเฉลี่ย 5 หมื่นบาทต่อเดือน ขณะที่ค่าจ้างพนักงานสำหรับร้านอาหารขนาดกลางที่มีพนักงานราว 10 คน อาจต้องใช้เงินเดือนละ 1 – 1.5 แสนบาท ซึ่งเป็นต้นทุนคงที่ที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับ

เปิดสูตร “ร้านอาหาร” ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อซบ จี้รัฐอัดฉีดมาตรการเพิ่ม

หากรวมต้นทุนอื่น ๆ เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายจิปาถะ ต้นทุนการดำเนินงานต่อวันอาจอยู่ที่ 4 หมื่นบาท เท่ากับว่าร้านอาหารต้องมีรายได้อย่างน้อย 5 – 6 หมื่นบาทต่อวันจึงจะอยู่รอด ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายในภาวะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว

แม้ร้านอาหารจะเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและมีแนวโน้มเติบโตตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น เนื่องจากการทำอาหารเองในเมืองใหญ่มีต้นทุนสูงกว่า แต่ธุรกิจร้านอาหารในไทยยังมีความแตกต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป

ซึ่งให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารและระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
“ต่างประเทศมีมาตรฐานด้านสุขอนามัยและการจัดการที่เข้มงวดกว่าบ้านเรา ขณะที่ร้านอาหารไทยจำนวนมากยังเน้นเรื่องรสชาติและความสดใหม่เป็นหลัก แต่ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่มาตรฐานระดับสากล อาหารไทยยังคงได้รับความนิยม เพราะเป็นอาหารที่ปรุงร้อนและให้ความปลอดภัยต่อสุขภาพในระดับหนึ่ง”

นางฐนิวรรณ กล่าวอีกว่า ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารต้องปรับกลยุทธ์หลายด้าน ได้แก่ 1. เพิ่มช่องทางรายได้ ร้านอาหารหลายแห่งเริ่มขยายบริการสู่การจัดเลี้ยงนอกสถานที่ บริการเดลิเวอรี่ หรือการทำข้าวกล่องเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการอาหารปริมาณมาก

เปิดสูตร “ร้านอาหาร” ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อซบ จี้รัฐอัดฉีดมาตรการเพิ่ม

2. บริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ มีการควบคุมปริมาณวัตถุดิบ ลดของเสีย และหาแหล่งจัดซื้อที่มีต้นทุนต่ำลง 3. เลือกทำเลที่เหมาะสม การเช่าพื้นที่ในทำเลที่ค่าเช่าไม่สูงจนเกินไป หรือการเจรจาต่อรองกับเจ้าของพื้นที่เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย

และ 4. ปรับกลยุทธ์ราคาและโปรโมชั่น มีการออกโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ลดราคาช่วงเวลาที่ลูกค้าน้อย หรือการทำโปรแกรมสะสมแต้มเพื่อกระตุ้นยอดขาย

อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจมองว่าหากรัฐบาลไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน อาจทำให้ภาคเอกชนต้องเผชิญกับภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือการกระตุ้นกำลังซื้อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อประชาชนมีเงินมากขึ้น พวกเขาก็จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมก็จะหมุนเวียนดีขึ้น ธุรกิจต่างๆ รวมถึงร้านอาหาร ก็จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย

สำหรับมาตรการที่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นรายได้ประชาชน เช่น การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ หรือการส่งเสริมการจ้างงาน, มาตรการลดภาระค่าครองชีพ เช่น การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ชั่วคราว หรือการสนับสนุนมาตรการลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

และมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านโครงการสนับสนุนการใช้จ่าย เช่น โครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการใช้จ่ายด้านอาหารและบริการ

“หากรัฐบาลสามารถออกมาตรการที่เหมาะสม จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และช่วยลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหาร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว”

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการร้านอาหารยังมองว่าภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เช่น มาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจร้านอาหาร , โครงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับตัวการสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ เป็นต้น

ขณะที่มุมมองต่อมาตรการ Easy E-receipt นางฐนิวรรณ กล่าวว่า เป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ จะมีผลต่อธุรกิจร้านอาหารบางส่วนเท่านั้น โดยเฉพาะร้านที่ออกบิลเป็นประจำหรือเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ร้านอาหารระดับภัตตาคาร หรือร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า

เปิดสูตร “ร้านอาหาร” ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อซบ จี้รัฐอัดฉีดมาตรการเพิ่ม

เนื่องจากลูกค้ากลุ่มหลักของร้านเหล่านี้มักเป็นผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งเห็นคุณค่าของมาตรการลดหย่อนภาษีมากกว่า ส่วนลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำหรือมีภาระค่าใช้จ่ายสูง มักไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีเหล่านี้ เนื่องจากมีฐานภาษีต่ำอยู่แล้ว

ส่วนมาตรการด้านการปรับเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น. นั้น ร้านอาหารในห้างหรือภัตตาคารไม่ได้หยุดทำการในช่วงบ่าย ลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารในช่วงดังกล่าวอาจต้องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับอาหาร แต่ไม่สามารถทำได้ นโยบายตัวเก่าจึงเป็นการตัดโอกาสในการเพิ่มยอดขายของร้านอาหารที่ให้บริการอย่างถูกต้องและมีระบบควบคุมที่ชัดเจน

กลุ่มที่เรียกร้องให้มีการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่มาจากภาคธุรกิจสถานบันเทิงกลางคืน ซึ่งต้องการขยายเวลาการขายไปจนถึงช่วงดึกหรือขายตลอดทั้งคืน หากรัฐบาลพิจารณาให้มีการปรับเวลาขายเฉพาะในร้านอาหารที่มีการควบคุมชัดเจน ก็ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม

ร้านอาหารที่ดำเนินธุรกิจถูกต้อง มีมาตรฐาน และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่ดี ควรได้รับสิทธิในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ขณะเดียวกัน มาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์จริง เพื่อให้สามารถกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง

การพิจารณาปรับนโยบายเหล่านี้ต้องคำนึงถึงทั้งผู้ประกอบการ ร้านอาหาร และพฤติกรรมผู้บริโภค โดยต้องสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมเศรษฐกิจและการควบคุมปัญหาสังคมที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ

“นโยบายขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อร้านอาหารที่ไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ร้านขนมหวาน ร้านกาแฟ หรือร้านไอศกรีม ร้านค้าเหล่านี้อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าแตกต่างจากร้านอาหารที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ไม่ได้หมายความว่าร้านขนมหรือร้านกาแฟจะได้รับผลกระทบโดยตรง

เพราะกลุ่มลูกค้าแตกต่างกันอยู่แล้ว สมาคมภัตตาคารไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเรียกร้องให้ขยายเวลาการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่มีเงื่อนไข แต่ต้องการให้ภาครัฐพิจารณามาตรการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของธุรกิจร้านอาหารที่ถูกต้องตามกฎหมาย”

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,073 วันที่ 23 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568