นายปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมาไมเนอร์ฟู้ดสามารถเอาต์เพอร์ฟอร์มตลาดได้ โดยรายได้รวมของเครือข่ายธุรกิจอาหารเติบโตขึ้น 1% ในส่วนของ Same Store Sales (ยอดขายของสาขาเดิม) และหากรวมยอดขายจากการขยายสาขาใหม่ (Total System Growth) พบว่ามีอัตราการเติบโต 8%
แม้ว่าสถานการณ์ในประเทศไทยจะยังคงขยายตัวได้ดี แต่ตลาดจีนยังเป็นความท้าทายสำคัญของไมเนอร์ฟู้ด ซึ่งยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและขยายฐานลูกค้าให้แข็งแกร่งขึ้น บริษัทมีแผนที่จะรักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์หลักอย่างพิซซ่า คอมปะนี ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มไมเนอร์
นายปัทม์ กล่าวต่อว่า ในปี 2567 ภาพรวมตลาดพิซซ่าในประเทศไทยมีมูลค่าราว 11,000 ล้านบาท เติบโต ต่ำกว่า 5% อย่างไรก็ตาม กลุ่มพิซซ่ายังมีอัตราการขยายตัวที่เหนือกว่ากลุ่มอาหารประเภทอื่นในกลุ่ม เช่น เบอร์เกอร์และไก่ทอด แต่ยังเป็นรองกลุ่มสเต็กอยู่บ้าง
บริษัทคาดการณ์ว่าในปี 2568 เดอะพิซซ่าคอมปะนีจะเติบโตมากกว่า 10% ขณะที่ภาพรวมร้านอาหารจะเติบโตแบบคงที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดพิซซ่าที่ยังคงขยายตัวได้ดี ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งแบรนด์ต่างประเทศและสตรีทฟู้ดที่พัฒนาขึ้นมาจนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค
ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์นานาชาติ และร้านอาหารรูปแบบใหม่ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยังคงเป็นแบรนด์หลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของไมเนอร์ฟู้ด โดยมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมของตลาด
ด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่ง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี มีแผนเดินหน้าขยายตลาดในปี 2568 เพื่อรักษาตำแหน่งแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดพิซซ่าของไทย ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญใหญ่รับปี 2568 'ซื้อ 1 แถม 1 พร้อมบวก' พร้อมกลยุทธ์เดลิเวอรี 20 นาที
เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดส่งอาหาร โดยให้บริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งยอดขาย และจำนวนลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้าอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านราย
“พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้บริการเดลิเวอรีเปลี่ยนไปมากหลังช่วงโควิด จากเดิมที่เน้นเรื่องราคาและโปรโมชั่น ปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับคุณภาพอาหารที่ได้รับ ความรวดเร็ว และความตรงเวลามากขึ้น
ซึ่งเดอะ พิซซ่า คอมปะนี มองเห็นโอกาสตรงนี้ และได้พัฒนาระบบเดลิเวอรีให้สามารถส่งอาหารภายใน 20 นาที เพื่อให้ลูกค้าได้รับพิซซ่าที่อร่อยเหมือนทานที่ร้าน”
เราเชื่อว่า ความเร็วและคุณภาพของเดลิเวอรี จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์ของเราแตกต่างจากคู่แข่งและเติบโตได้ในปี 2568 และเราคาดว่าจากแคมเปญนี้จะทำให้ยอดขายเติบโตขึ้น 12% ็ส่งผลให้มีอัตราการเข้ามาใช้บริการในร้านถี่มากขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 2.5 ครั้งต่อเดือน เป็น 3.5 ครั้งต่อเดือน เมื่อเทียบกับปี 2566
ความสำเร็จของบริษัทในปี 2567 มาจากการขยายการเติบโตในทุกช่องทาง ทั้งการนั่งทานในร้าน มีสัดส่วน 30% ซื้อกลับบ้าน 20% และบริการเดลิเวอรี่ 50%
1.ออกเมนูใหม่ "Pizza Bites" จับกลุ่มลูกค้าเดี่ยว เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2567 เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว และ ราคาที่จับต้องได้ ดึงดูดลูกค้าใหม่และช่วยขยายตลาดซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรี่
2. รีแบรนด์ร้าน Dine-in ปรับโฉมให้โมเดิร์น ดึงลูกค้ากลับร้าน มีการปรับดีไซน์ร้านใหม่ให้ทันสมัย สะดวกสบายมากขึ้น ด้วยงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เปลี่ยนรูปแบบการให้บริการให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน พร้อมขยายเมนูจากเดิมที่เน้นพิซซ่า ให้ครอบคลุม พาสต้า, สเต็ก และสลัด อีกทั้งตั้งราคาให้จับต้องได้ง่ายขึ้นเพื่อให้ลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการบ่อยขึ้น
3.ปัจจุบัน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี มีทั้งหมด 430 สาขา ปีนี้จะขยายเพิ่ม 20 สาขา ใช้งบลงทุน 200 ล้านบาท และทำงบโฆษณาราว 300 ล้านบาท
ความท้าทายของธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 ปัจจัยหลักที่กระทบต่ออุตสาหกรรมร้านอาหารมี 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจโดยรวม กำลังซื้อของผู้บริโภค เงินเฟ้อที่ส่งผลต่อต้นทุน และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
1. กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงชะลอตัว แม้การท่องเที่ยวจะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงเป็นเพียงภาคส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดร้านอาหารที่เน้นลูกค้ากลุ่มแมสยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของกำลังซื้อ เนื่องจากเซนติเมนต์การจับจ่ายของผู้บริโภคยังไม่กลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภคและสร้างกลยุทธ์ที่สามารถสวนกระแสเศรษฐกิจที่ซบเซาได้
2. เงินเฟ้อ ต้นทุนวัตถุดิบ-ค่าแรงพุ่งสูง
อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ต้นทุนค่าแรงและวัตถุดิบ โดยค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้นส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารต้องจ่ายค่าจ้างพนักงานสูงขึ้นกว่าตลาด เพื่อรักษาบุคลากรที่มีทักษะให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว เพราะธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่ต้องการแรงงานที่มีประสบการณ์และทักษะเฉพาะทาง
นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบอาหารยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ เนื้อสัตว์ เช่น ไก่และหมู ที่มีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นทุกปี ขณะที่ โกโก้ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญของเมนูขนมหวาน ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 200% ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมร้านอาหารทั่วโลก รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งราคาเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา
แม้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยืนยันว่า จะไม่ปรับขึ้นราคาเมนูอาหาร โดยจะใช้กลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้ Purchasing Volume หรือการสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณมากเพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของอาหารที่ส่งมอบให้ลูกค้าอีกด้วย