เซ็นทารา ทุ่ม 6.8 พันล้าน ปักธง 2 โรงแรมใหม่มัลดีฟส์ ชู มิราจ ลากูน รุกครอบครัว

ปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ได้ซื้อเกาะจากรัฐบาลมัลดีฟส์ไว้ จำนวน 4 เกาะ โดยได้พัฒนาโรงแรมและเปิดให้บริการไปแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมมัชชาฟูชิ ไอส์แลนด์ รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์ เดอะ เซ็นทารา คอลเลคชั่น,โรงแรม เซ็นทารา ราสฟูชิ รีสอร์ทและสปา มัลดีฟส์

ล่าสุด คือ โรงแรม เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ ที่เพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงแรมใหม่อีกหนึ่งแห่ง ในพื้นที่ใกล้กัน คือ  โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์  ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และมีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 1 เมษายน 2568 และจะทำให้เซ็นทารามีโรงแรมทั้งหมด 4 แห่ง ในมัลดีฟส์ 

เซ็นทารา ทุ่ม 6.8 พันล้าน ปักธง 2 โรงแรมใหม่ มัลดีฟส์

นายแอนดรูว์ แจนสัน ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ กล่าวว่า โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ได้ลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,800 ล้านบาท)ในการลงทุนสร้าง 2 โรงแรมใหม่ในมัลดีฟส์ พื้นที่รวมกว่า 1.7 แสนตารางเมตร ได้แก่ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ มัลดีฟส์ จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 เมษายน 2568 นี้ และโรงแรมเซ็นทารา มิราจ มัลดีฟส์ ที่เพิ่งจะเปิดให้บริการมาได้ 3 เดือนแล้ว

โดยในส่วนของโรงแรม เซ็นทารา มิราจ มัลดีฟส์ ลงทุนราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,773 ล้านบาท)  

เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ ชูจุดเด่น Family Resort 

โรงแรมเซ็นทารา มิราจ มัลดีฟส์ จุดเด่นของโรงแรม คือ ความเป็น Family Resort รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวเต็มรูปแบบ มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆจึงเน้นเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก เพื่อทำให้เป็นโรงแรมสำหรับแฟมิลี่ที่ดีที่สุดในมัลดีฟส์

ไม่ว่าจะเป็น สวนน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมสระว่ายน้ำทั้งสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก สระน้ำวนเลซี่ ริเวอร์ ยาว 248 เมตรยาวที่สุดในมัลดีฟส์ มีสไลเดอร์ขนาดใหญ่ โซนเครื่องเล่นน้ำสำหรับเด็กโดยเฉพาะ รวมถึงคิดส์คลับ และแคนดี้สปาสำหรับเด็ก และสปาเซ็นวารี

รวมถึงการออกแบบห้องพักทั้ง 145 ห้องขนาดตั้งแต่ 45-196 ตารางเมตร อย่าง ห้องแฟมิลี่ รูม ที่คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 65% หากเทียบกับห้องพักทั้งหมด ไฮไลท์ คือ เตียง 2 ชั้น รองรับเด็ก 2 คนเข้าพักพร้อมพ่อแม่ในห้องเดียวกัน ไม่ต้องจ่ายค่าเตียงเสริม  

รวมทั้งห้องพักในแบบวอเตอร์ วิลล่า ก็จะมีโซนในฝั่งซันเซ็ท ก็มีการออกแบบโดยมีรั้วกั้นให้เด็กสามารถเข้าพักได้อย่างปลอดภัย เพื่อตอบโจทย์พ่อแม่ที่มาเที่ยวพร้อมกับลูก และกลุ่มลูกค้าทุกช่วงอายุได้อย่างครบครัน แตกต่างโรงแรมส่วนใหญ่ในมัลดีฟส์จะไม่เปิดให้เด็กเข้าพักได้ เนื่องจากเหตุผลของความปลอดภัย

ประกอบกับพื้นที่นี้ใกล้กับสนามบินมัลดีฟส์ ใช้เวลาเดินทางด้วยสปีดโบ้ด ราว 45 นาที ทำให้เหมาะสำหรับการเดินทางมาเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว

ขณะเดียวกันยังมีห้องพักที่รองรับกลุ่มคู่รักบางส่วนด้วย ไม่ว่าจะเป็นห้องบนฝั่ง และห้องพักในแบบวอเตอร์ วิลล่า ซึ่งจะเป็นคนละฝั่งกับวอเตอร์ วิลล่า ที่เปิดให้เด็กเข้าพักได้

เปิด TOP 5 นักท่องเที่ยวสูงสุด

ดังนั้นโรงแรมจึงมีตลาดที่หลากหลาย โดยเฉพาะในช่วงปิดภาคเรียน โรงแรมก็จะมีลูกค้าในกลุ่ม School Holiday จึงอาจจะแตกต่างจากรีสอร์ทอื่นๆในมัลดีฟส์ที่ส่วนใหญ่จะเน้นนักท่องเที่ยวกลุ่ม Couple (มาเป็นคู่)

โดยนักท่องเที่ยว TOP 5 จะประกอบไปด้วยนักท่องเที่ยวรัสเซีย สหราชอาณาจักร ไทย จีน อินเดีย ซึ่งนักท่องเที่ยวไทยอยู่อันดับ 3  

แม้จะเพิ่งเปิดให้บริการ แต่โรงแรมได้รับการตอบรับที่ดี โดยวันนี้มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 60 % และตั้งเป้าอัตราเข้าพักเฉลี่ยปีแรกของโรงแรมอยู่ที่ 45-55% โดยในช่วงไฮซีซัน ประมาณ ตุลาคม-เมษายน ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวยุโรปเป็นส่วนใหญ่

เช่น เยอรมนี รัสเซีย ขณะที่ จีน อินเดีย นักท่องเที่ยวเอเชีย จะเดินทางมาเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลไฮซีซัน ซึ่งในช่วงโลว์ซีซัน นักท่องเที่ยวจึงกระจายตลอดทั้งปี

สำหรับจำนวนการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมจะอยู่ที่ 5.5 คืน โดยตลาดเอเชีย จีน อินเดีย ไทย จะพักเฉลี่ยอยู่ที่ 4 คืน นักท่องเที่ยวยุโรป จะอยู่ที่ 7-10 คืน

นอกจากนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวเป็นส่วนใหญ่แล้ว และกลุ่ม Couple บางส่วน ก็ยังมีกรุ๊ปคอร์ปอเรตคนไทย ล่าสุดมา 60 คนใช้ห้องพักกว่า 30 ห้องอีกด้วย

ส่วนอัตราค่าห้องพัก (ADR) ในช่วงเปิดตัวโรงแรม จะอยู่ตั้งแต่ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน (13,492 บาทต่อคืน)ไปจนถึง 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน (30,357 บาทต่อคืน) สำหรับห้องพักแบบวอเตอร์ วิลล่า

รวมทั้งโรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ ยังเน้นการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม  ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการด้าน Food Waste นำอาหารเหลือทิ้งมาทำปุ๋ย การรีไซเคิลโดยใช้ขวดแก้วแทนขวดพาสติก การทำโซล่ารูฟ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในห้องพัก ซึ่งมีกำลังการผลิตได้ถึง 2.7 เมกกะวัตต์ต่อวัน

อย่างไรก็ตามแม้มัลดีฟส์จะมีคู่แข่งอย่าง ตรุกี ดูไบ ซาอุดีอาระเบีย ที่กำลังสร้างให้เหมือนกับมัลดีฟส์ รวมถึงภูเก็ต เกาะสมุย บาหลี เกาะซีเชลส์ แต่ด้วยมัลดีฟส์เป็นเดสติเนชั่นที่มีจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ และมีการจัดอันดับว่ามัลดีฟส์เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ควรต้องไป ความสวยงามของโลกใต้ทะเล (มารีน ไลฟ์) ดำน้ำ ทำให้มัลดีฟส์ยังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก

กลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวตลาดใหม่มัลดีฟส์

นายแจนสัน ยังกล่าวต่อว่ามัลดีฟส์ต้องการรายได้จากการท่องเที่ยว จึงจะเห็นว่ามีการเจาะกลุ่มตลาดที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่ กลุ่ม Couple อย่างในอดีตที่เดิมเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มฮันนีมูน แต่ปัจจุบันหลังโควิด-19 จะเห็นว่านักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวเดินทางมาเที่ยวมัลดีฟส์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับในอดีตที่มีไม่มากนัก

เนื่องจากมัลดีฟส์ใช้เวลาเดินทางไม่ไกล บินแค่ 4 ชั่วโมงกว่าๆ เป็นประเทศที่อยู่ในลิซสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่ควรพลาด  และการเดินทางมาเที่ยวมัลดีฟส์มีความสะดวก เพราะมีสายการบินเปิดเที่ยวบินเข้ามาเพิ่มมากขึ้น

ทำให้มีโรงแรมหันมาเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัวเพิ่มมากขึ้น แต่เซ็นทารา มิราจ จัดว่าเป็นโรงแรมสำหรับครอบครัวที่ดีที่สุดในมัลดีฟส์ โดยเฉพาะพื้นที่สวนน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ มี เลซี่ ริเวอร์ ยาวที่สุดบนเกาะมัลดีฟส์

ก่อนโควิด มีโรงแรมในมัลดีฟส์ 130 แห่ง แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโรงแรม 178 แห่ง และกำลังจะมีโรงแรมใหม่เปิดเพิ่มอีกมากกว่า 30 แห่งในช่วง 3 ปีนี้ ซึ่งก่อนโควิดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวมัลดีฟส์ 1.7 ล้านคน ในปี 2567 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 2 ล้านคน และในปีนี้ 2568 นี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านคน

อีกทั้งสนามบินนานาชาติมัลดีฟส์แห่งใหม่ จะเปิดให้บริการในเดือนกรกฏาคมนี้ และเมื่อรวมกับสนามบินนานาชาติปัจจุบันที่อยู่ใกล้กัน จะรองรับผู้โดยสารได้ 7 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันรองรับได้ 2 ล้านคนต่อปี โดยมัลดีฟส์มีสนามบินทั้งหมด 11 แห่ง บินในประเทศ  มีเพียง 3 แห่งที่เป็นสนามบินที่รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ

อีกทั้งการลงทุนโรงแรมบนเกาะมัลดีฟส์ นอกจากโรงแรมระดับหรู ทำให้มัลดีฟส์เป็นพรีเมี่ยม เดสติเนชั่นแล้ว ก็จะมีเกสเฮ้าส์ เจาะกลุ่มอีกตลาดหนึ่ง ทำให้มีตลาดที่หลากหลาย

แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของโรงแรมและเกาส์เฮ้าส์จะทำให้ภาพรวมของอัตราค่าห้องพัก (ADR) ของโรงแรมในมัลดีฟส์ ปรับขึ้นได้ราว 5% และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอาจจะลดลง เพราะรีสอร์ทเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของเซ็นทารา เป็นกลุ่มโรงแรมลักชัวรี ซึ่งเป็นคนละเซ็กเม้นท์กัน ก็มีจะฐานลูกค้าที่เรามั่นใจว่าจะทำการตลาดให้เติบโตได้ดี  

รัฐบาลมัลดีฟส์ เปิดประมูลเกาะทุกปีดึงลงทุน

มัลดีฟส์มีทั้งหมด 1,000 เกาะ เป็นเกาะที่มีคนอาศัย 150 เกาะ ยังมีอีก 850 เกาะที่ว่างอยู่ ซึ่งทุกปีรัฐบาลมัลดีฟส์ จะเปิดประมูลเกาะ ครั้งละ 3-5 เกาะให้คนที่สนใจเข้าเสนอราคาเพื่อเข้ามาลงทุน

เกาะเล็ก ก็จะราคาประมาณ 1-2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกาะใหญ่ ก็จะตั้งแต่ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป โดยจะเป็นการเช่าซื้อระยะยาว 50-99 ปี ซึ่งเป็นสัญญาถาวร แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัญญาแต่อย่างใด

อย่างของเซ็นทารา ก็เลือกซื้อเกาะลากูนน้ำตื้น และมาถมทราย โดยเอาทรายจากใต้ทะเลลึก 30 เมตรขึ้นไปมาถม ทั้งนี้ผู้ลงทุนอยากได้เกาะเป็นรูปอะไรก็ถมได้ ผู้ลงทุนต้องคำนวณการลงทุนและบิสิเนสของแต่ละโรงแรม รวมถึงการทำตลาด เพื่อให้คืนทุนได้เร็ว