ผู้ว่าททท.เปิดกลยุทธ์ท่องเที่ยวปี 2568 ปั้มรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้าน

27 ม.ค. 2568 | 05:02 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ม.ค. 2568 | 06:35 น.
785

ทิศทางการท่องเที่ยวของไทยปี 2568 ในการขับเคลื่อนรายได้ 3 ล้านล้านบาท ดันเป้านโยบายต่างชาติเที่ยวไทย 40 ล้านคน ดันไทยเที่ยวไทย จะเป็นเช่นไร “ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศ (ททท.) มีคำตอบ

ปั้มรายได้ท่องเที่ยวเชิงนโยบายปี 2568 กว่า 3 ล้านล้าน
 

นางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าททท.ระบุถึงเป้าหมายการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี 2568 ททท.ตั้งเป้า Best Case (กรณีดีที่สุด) ตามแผนวิสาหกิจของททท. ต่างชาติเที่ยวไทย อยู่ที่ 38 ล้านคน ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่เป้าหมายเชิงนโยบาย อยู่ที่ 40 ล้านคน

โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ (ประเทศในเอเชีย) จะมีจำนวนราว 29 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 77.5% และจากตลาดระยะไกล (ตลาดยุโรป, อเมริกา) จำนวน 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 22.5% สร้างรายได้อยู่ที่ราว 2 ล้านล้านบาท

เป้าหมายการท่องเที่ยว ปี 2568

ขณะที่ไทยเที่ยวไทย ตั้งเป้าไว้ที่ 200-220 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2568 จะขับเคลื่อนรายได้จากการท่องเที่ยวตามเป้าหมายเชิงนโยบายอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทย 35.54 ล้านคน สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท

เปิดไฮไลท์ 5 ตลาดดาวรุ่ง

ในปี 2568 เป็นปีสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในด้านการขยายฐานนักท่องเที่ยวจากตลาดต่างประเทศและตลาดภายในประเทศ โดยตลาดนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูงมากในปีนี้ จะเป็นนักท่องเที่ยวอินเดีย คาดว่าในปีนี้จะอยู่ที่ 2.3-2.5 ล้านคน นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 2-2.5 ล้านคน 

นักท่องเที่ยวจากอาเซียน ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด โดยนักท่องเที่ยวมาเลเซีย คาดว่าจะเติบโต 5.5 ล้านคน รัสเซีย 1.92 ล้านคน อาเซียน ซึ่งททท.ตั้งเป้าการเติบโตของนักท่องเที่ยวในทุกตลาดไม่ต่ำกว่า 10% สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน คาดว่าจะอยู่ที่ 7.3-8 ล้านคน

ส่วนในตลาดดาวรุ่ง หรือตลาดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยสูง ก็ยังคงเป็น อินเดีย รัสเซีย เกาหลีใต้ นักท่องเที่ยวมาเลเซีย ขณะที่ตลาดดาวฤกษ์ ซึ่งเป็นตลาดที่อาจจะยังมีจำนวนน้อยแต่เติบโตสูง คือ นักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย นักท่องเที่ยวคาซัคสถาน ส่วนใหญ่จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% 

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์

โดยในปีนี้ททท.จะให้ความสำคัญในการโปรโมทเมืองรองในตลาดท่องเที่ยวต่างๆเพิ่มมากขึ้น เช่น เมืองรองในตลาดจีน

ชูอาเซียน One Destination

การโปรโมทร่วมกับเมืองต่างๆเพื่อสอดรับให้อาเซียนคอนเน็คทิวิตี้ เกิดความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน ให้เป็น One Destination อาทิ การร่วมมือกับอินโดนีเซีย โปรโมทเส้นทางเมดาน-หาดใหญ่ โดยผลักดันให้มีการกลับมาเปิดเที่ยวบินเมดาน-หาดใหญ่ การร่วมมือกับสิงคโปร์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือครูซ เพิ่มมากขึ้น 

การร่วมมือกับมาเลเซีย โปรโมทเส้นทางท่องเที่ยวทางรถไฟ เชื่อมไทยกับปาดังเบซาร์และสะเดา การโปรโมทเส้นทางยะโฮร์บาห์รู มาเที่ยวไทย รองรับการเปิดเส้นทางบินจากยะโฮร์บาห์รูมายังกรุงเทพฯ การโปรโมทเส้นทางท่องเที่ยวโดยเรือยอช์ต เรือครูซ และมินิครูซ ในเส้นทางลังกาวี-สตูล-หลีเป๊ะ และมองไปถึงการเชื่อมโยงเส้นทางไปเกาะลันตาด้วย

สร้างโอกาสเสนอขายเมืองน่าเที่ยว นำร่องงานไอทีบี

นอกจากนี้จะเน้นการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในเมืองน่าเที่ยว โดยจะยกระดับเมืองที่มีความพร้อม เพื่อนำไปเสนอขายสินค้าในเวทีตลาดการท่องเที่ยวโลก อย่างในการเดินทางไปร่วมงาน ITB ที่เบอร์ลิน จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจากเมืองน่าเที่ยวได้เข้าไปร่วมเสนอขายสินค้าราว 12-20 ผู้ประกอบการด้วย 

อีกทั้งททท. ยังเน้นการขับเคลื่อนเมืองน่าเที่ยวด้วยพลัง Soft Power เสน่ห์ไทย สร้างกระแสการเดินทาง ท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค ชูเสน่ห์ไทย และ 5 Must Do In Thailand ได้แก่ Must Taste, Must Try,Must Buy,Must Seek,Must See เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มเติมลูกค้าใหม่ รวมทั้งตั้งเป้าส่งเสริมให้มีการเพิ่มเที่ยวบินเข้าไทย และยกระดับเส้นทางการบินเพื่อเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยมากยิ่งขึ้น

สร้างความเชื่อมั่นจีนเที่ยวไทย

สำหรับปัจจัยท้าทายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีนี้ ยังคงอยู่ที่ปัจจัยเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เราควบคุมไม่ได้ ส่วนสถานการณ์การแพร่ข่าวผ่านโซเซียลจีน กรณีไทยไม่ปลอดภัย หลังจากเกิดปัญหาซิงซิง ถูกหลอกข้ามแดนไปเมียนมาร์นั้น เบื้องต้นกระทบนักท่องเที่ยวจีนยกเลิกการจองเที่ยวไทยไปประมาณ 1 หมื่นคน

ททท.ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น นำเสนอเรื่องราวความเป็นจริงในไทย เพื่อให้ข่าวจริงล้มล้างข่าวเฟคนิวส์ ส่วนกรณีที่มีภาคเอกชน อยากให้ยกเลิกมาตรการวีซ่าฟรี นักท่องเที่ยวจีนนั้น มองว่าการยกเลิกวีซ่าฟรีไม่ใช่คำตอบ แต่อาจจะมีการเสนอปรับระยะเวลาวีซ่าฟรีให้สั้นลง เพราะนักท่องเที่ยวจีนที่มีเที่ยวไทยจะมีวันพักเฉลี่ยอยู่ที่ 7 วันเท่านั้น

ผู้ว่าททท.เปิดกลยุทธ์ท่องเที่ยวปี 2568 ปั้มรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้าน

ขณะที่แผนในการส่งเสริมและกระตุ้นท่องเที่ยวในปี 2568 ของททท. จะเปิดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” การกระตุ้นความถี่ และการใช้จ่ายในการเดินทางของคนไทย 

ปักธงพื้นที่ตลาดใหม่ กระตุ้นความถี่และการใช้จ่ายตลาดหลัก การขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ การผลักดันอย่างต่อเนื่อง ด้าน Ease of Travelling และการสร้างสมดุลย์การขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน อาทิ การขยายพื้นที่โครงการ Sustainabel Tourism Goal (STAR)

Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025

ผู้ว่าททท.ยังกล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในปี 2568 ททท. ได้เตรียมแผนการจัดกิจกรรมใหญ่ภายใต้แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” ซึ่งจะมีความร่วมมือจากกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมี 5 Grand เพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ได้แก่

1. Grand Festivity : จัดให้มีกิจกรรมใหญ่ตลอดทั้งปี เพราะจะเป็นจุดขายหลักในการดึงนักท่องเที่ยว พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ครบทุกช่องทางมากที่สุด

2. Grand Moment : การนำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวมอบประสบการณ์ใหม่ ๆที่ไม่เคยมีมาก่อนและพิเศษสุดแบบ Very VIP

ผู้ว่าททท.เปิดกลยุทธ์ท่องเที่ยวปี 2568 ปั้มรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้าน

3. Grand Privilege : รวมช็อปปิ้ง แพ็กเกจทัวร์ ตั๋วเครื่องบิน และช่องทางการจ่ายเงินที่สะดวกและไร้รอยต่อ

4. Grand Invitation : การเชิญบุคคลระดับโลกมาเยือนประเทศไทยตลอดปี อาทิ นักร้อง นักดนตรีระดับโลก นักกีฬาระดับตำนาน นักเขียน รางวัลโนเบล มาท่องเที่ยวและแชร์ประสบการณ์

5. Grand Celebration : การจัดงานเฉลิมฉลองในเทศกาลต่าง ๆ การฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต และความร่วมมือกับพันธมิตรภาคส่วนต่างๆ รวมถึงการฉลองความสำเร็จในด้านต่างๆ

การเปิดตัวกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและเพิ่มจำนวนการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นทิศทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวของททท.ในปีนี้

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,064 วันที่ 23 - 25 มกราคม พ.ศ. 2568