ในยุคที่ไลฟ์สไตล์คนไทยเปลี่ยนไป “อาหารจานด่วน” หรือ QSR กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน หนึ่งในเมนูที่ได้รับความนิยมสูง หนีไม่พ้น “ไก่ทอด” ที่ครองใจคนไทยมานานหลายปี และยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง
จากเพลย์เยอร์ดั้งเดิมและหน้าใหม่ ที่เข้ามา โดยพบว่าในปี 2567 ภาพรวมธุรกิจอาหารบริการด่วน หรือ Quick Service Restaurant (QSR) มีมูลค่าตลาดรวม 47,700 ล้านบาท แบ่งเป็น ไก่ทอด 27,600 ล้านบาท คิดเป็น 58% เบอร์เกอร์ 10,900 ล้านบาท คิดเป็น 23% และ พิซซ่า 9,500 ล้านบาท คิดเป็น 20%
ด้วยมูลค่าตลาดไก่ทอดที่สูงถึง 27,600 ล้านบาท ทำให้มีแบรนด์ใหม่ดาหน้าเข้าทำตลาดต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์ผู้นำอย่าง “KFC” ก็ยังผงาดเดินหน้ารุกทำตลาดพร้อมขยายสาขาแบบไม่หยุดหย่อน ซึ่งวันนี้ “KFC” ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 52% ภายใต้การบริหารของ 3 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) ในเครือไทยเบฟ เป็นแฟรนไชส์ KFC ที่มีจำนวนสาขาสูงสุดคือ 440 สาขา
2.บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ในเครือเซ็นทรัล มี 338 สาขา และ3.บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD) มี 274 สาขา ทั้งสามบริษัทนี้ต่างก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ KFC เป็นแบรนด์ไก่ทอดอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคชาวไทย
นายปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส QSR & Western Cuisine ผู้บริหารแบรนด์ “KFC”ภายใต้การบริหารของบริษัทเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ปจำกัด (CRG) กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ไก่ทอดเป็นอาหารที่ทานง่าย สะดวก รวดเร็ว เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เร่งรีบ
จากร้านแรกที่เซ็นทรัลลาดพร้าวสู่ 1,000 สาขาทั่วประเทศ เกิดจากการวางกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์เอง ที่เน้นรสชาติ ราคาเข้าถึงได้ และเมนูหลากหลายที่ตอบโจทย์ทุกโอกาส รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งในห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน หรือแม้แต่โมเดลร้านขนาดเล็กที่สะดวกต่อการซื้อกลับบ้าน
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ KFC ประสบความสำเร็จนอกเหนือจาก “คน” แล้วการมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งอย่าง ซีอาร์จี คิวเอสอาร์ และอาร์ดี ช่วยให้ KFC ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้การให้ความสำคัญกับพนักงานและการบริการลูกค้า ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ
ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมาก KFC จึงต้องปรับตัวตาม โดยให้ความสำคัญกับช่องทางเดลิเวอรี่มากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในการสั่งอาหารถึงบ้าน นอกจากนี้ KFC ยังมีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตื่นเต้นและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
“KFC ไม่ใช่แค่ร้านไก่ทอด แต่เป็นไลฟ์สไตล์ จากร้านไก่ทอดเล็กๆ กลายมาเป็นแบรนด์อาหารที่ครองใจคนไทยได้ทั่วประเทศ KFC พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยความเข้าใจในผู้บริโภค การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ”
ถึงแม้จะมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง KFC ยังต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ต่างงัดกลยุทธ์ออกมาแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาท้าชน และแบรนด์เก่าที่ต้องปรับตัวเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตัวเอง สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ในธุรกิจร้านไก่ทอด ที่ต้องจับตามองต่างพาเหรดมาจากเกาหลีและจีน นั่นเอง
โดย “Bonchon”ไก่ทอดสัญชาติเกาหลี ภายใต้การนำของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ถือเป็นหนึ่งในผู้ฉีกตลาดที่เข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับคนไทย ที่ปัจจุบันมีสาขา115สาขาทั่วประเทศ การก้าวเข้ามาตีตลาดไทยด้วยไก่ทอดสไตล์แดนกิมจิ แต่บอนชอนไม่ได้หยุดอยู่แค่ไก่ทอด บริษัทตระหนักดีว่าตลาดอาหารเกาหลีในไทยยังมีช่องว่างให้เจาะลึกอีกมาก จึงขยายเมนูให้ครอบคลุมอาหารเกาหลีหลากหลายชนิด
ไม่ว่าจะเป็นบิบิมบับ ต็อกโบกี หรือแม้แต่เครื่องเคียงต่างๆ ทำให้บอนชอนไม่ใช่แค่ร้านไก่ทอด แต่กลายเป็นร้านอาหารเกาหลีที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบครัน รวมถึงการขยายสาขาตามห้างก็เป็นกลยุทธ์นี้ทำให้บอนชอนสามารถแข่งขันกับแบรนด์คู่แข่งรายอื่นๆ ได้แม้ในตลาดจะมีร้านอาหารเกาหลีเกิดขึ้นมากมาย
อีกแบรนด์ที่กล้าหาญชาญชัยมารุกตลาดไก่ทอดเมืองไทยคือ “BHC Chicken” แบรนด์ไก่ทอดจากเกาหลีใต้ ที่เข้ามาปักหมุดเปิดตัวสาขาแรก ณ เซ็นทรัลเวิลด์ อย่างเป็นทางการในต้นปี 2567 ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ BHC Chicken ในการขยายตลาดสู่ระดับสากล โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและชื่นชอบในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย พร้อมทั้งสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการไก่ทอดในประเทศไทย
ล่าสุด “เพลิคาน่า” แบรนด์ไก่ทอดจากเกาหลี ได้ประกาศเปิดสาขาแรกในไทยอย่างเป็นทางการ ณ สยามสเคป ใจกลางสยามสแควร์ เมื่อต้นเดือน ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเปิดศึกชิงตลาดไก่ทอดเกาหลีในไทยอย่างเต็มรูปแบบ
นายอรรถวุฒิ นิธิกอบกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเพลิคาน่า (ประเทศไทย)จำกัดกล่าวว่า ตลาดไก่ทอดในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อไก่ทอด เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเพลิคาน่า ที่เข้ามาทำตลาดและใช้งบลงทุนกว่า 10 ล้านบาทสำหรับสาขาแรกนี้ มีเป้าหมายในปีนี้จะขยายเพิ่ม 5 สาขา พร้อมรายได้100 ล้านบาท ส่วนแผนในปี2569 จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 20 สาขา และตั้งเป้าธุรกิจ 3 ปีจะมีรายได้ 500 ล้านบาท
ส่วนแบรนด์จีนที่น่าจับตามอง เห็นจะหนีไม่พ้น “Zhengxin Chicken Steak” แบรนด์ไก่ทอดสัญชาติจีนที่มีสาขากว่า 2 หมื่นแห่งทั่วโลก ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย 2 สาขา คือที่ ONE ConneX (ย่านอนุสาวรีย์) และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อกลางปี 2567
และล่าสุดยังเปิดให้บริการที่ จ. เชียงใหม่ ส่งผลให้ตลาดไก่ทอดในไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ กลยุทธ์ราคาที่เข้าถึงง่าย ไก่กรอบชิ้นเล็ก 15 บาท เฟรนช์ฟรายส์ 20 บาท และเบอร์เกอร์ไก่เริ่มต้นที่ 30 บาท ราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด ทำให้แบรนด์นี้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทำงานที่มีงบประมาณจำกัด
เมื่อมีแบรนด์เกิดใหม่ ก็ต้องมีแบรนด์ที่ถอยฉากออกไป คือ “Texas Chicken” ภายใต้การบริหารของโออาร์ ที่ประกาศปิดสาขาทั้งหมดอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 กันยายน 2567 สร้างความฮือฮาให้กับวงการธุรกิจอาหารอย่างมาก ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ก็บ่งชี้ให้เห็นได้ว่า การแข่งขันของสมรภูมินี้ ดุเดือดจริงๆ
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,064 วันที่ 23 - 25 มกราคม พ.ศ. 2568