จีนแบล็กลิสต์ สารต้องห้ามทุเรียน ส่งออกถูกตีกลับเสียหายแล้ว 200 ล้าน

15 ม.ค. 2568 | 04:30 น.

จีนแบล็กลิสต์ สารชุบทุเรียน “basic yellow 2 “ พ่นพิษ ลามกระทบส่งออก 3 วันหลังมีผลบังคับใช้ทุบเสียหายแล้วกว่า 200 ล้าน “ล้ง” ระส่ำวิ่งเจรจาชาวสวนขอปรับลดราคาทุเรียนเหมาสวนภาคใต้ลงจาก 220-240 บาทกิโล เจอข้อหาแต่งเรื่องถูกริบเงินมัดจำ จี้ทุกภาคส่วนเร่งต้นตอก่อนกระทบหนัก

“ฐานเศรษฐกิจ” เกาะติดกรณีสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ได้บังคับให้ทุเรียนไทยทุกล็อตที่นำเข้าประเทศจีนทุกด่าน จะต้องใบรับรอง ( test report)  ไม่มีสาร “Basic Yellow 2” ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ ลักษณะเป็นผงสีเหลืองใช้ในการย้อมผ้า กระดาษ หนัง และสีทาบ้าน โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้สารนี้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2B มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม ที่ผ่านมา

จีนแบล็กลิสต์ สารต้องห้ามทุเรียน  ส่งออกถูกตีกลับเสียหายแล้ว 200 ล้าน

แหล่งข่าวจากวงการค้าทุเรียน เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัญหาของทุเรียนไทยในเวลานี้ในการส่งเข้าไปทางด่านต่างๆ ของจีน จะมีการขอดูเอกสารรับรองผลการตรวจวิเคราะห์และรับรองว่าจะต้องไม่มีสาร  “Basic Yellow 2” ซึ่งหากไม่มีก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับสินค้า ซึ่งจาก 3 วันที่มีการบังคับใช้มาตรการ มีจำนวนตู้สินค้าทุเรียนไทยเข้าไปจีนแล้วกว่า50 ตู้เฉลี่ยราคาตู้ละ 4 ล้านบาทหรือมีมูลค่ารวม กว่า 200 ล้านบาทที่ถูกตีกลับทำให้ไม่สามารถส่งเข้าไปจีนได้

 

นายภาณุวัชร์ ไหมแก้ว นายกสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด  กล่าวว่า ปีนี้ยอมรับว่ามีปัญหาหนักมากในการส่งออกทุเรียนไทยไปขายในจีน ทั้งเรื่องสารแคดเมียมและ สาร Basic Yellow 2 ซึ่งเวลานี้มีทุเรียนภาคใต้และทุเรียนจันทบุรีบางส่วนเริ่มทยอยออกมาแล้วราคาที่ล้งไปเหมาสวนเฉลี่ยที่ 220-240 บาท/กิโลกรัม

 

 

จีนแบล็กลิสต์ สารต้องห้ามทุเรียน  ส่งออกถูกตีกลับเสียหายแล้ว 200 ล้าน

 

“ในตอนนี้ผู้ประกอบการสะดุด ส่งออกไม่ได้ ก็ไปเจรจากับชาวสวนเพื่อขอต่อรองหรือจะปรับราคาก็ไม่ยอม ไม่ฟังเหตุผล จะต้องตัดตามราคาที่ตกลงกันไว้ ถ้าไม่เป็นราคาที่ตกลงกันไว้ก็จะยึดเงินมัดจำ ที่สำคัญไม่เชื่ออีกว่าทางรัฐบาลจีนบังคับก็มาหาว่าผู้ประกอบการมาสร้างเรื่องเพื่อที่จะกดราคาอีก ซึ่งทางสมาคมก็ปล่อยให้สมาชิกแก้ปัญหากันเอง ไม่รู้ว่าจะไปหาคนกลางที่ไหนมาช่วยไกล่เกลี่ย”

 

 

จีนแบล็กลิสต์ สารต้องห้ามทุเรียน  ส่งออกถูกตีกลับเสียหายแล้ว 200 ล้าน

นายภาณุวัชร์ ระบุว่า สารตัวนี้คาดมาจากล้งจีนที่คนไทยบริหาร เป็นคนนำเข้ามาคนไทยแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย แต่ชะตากรรมวันนี้มาตกอยู่กับคนไทย หากแก้ไม่ได้จะส่งผลกระทบกับการส่งออกทุเรียนไทยมาก ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องเร่งแก้ไขโดยเร็วที่สุดทั้งในเรื่องการตรวจสารแคดเมียม ที่ส่วนนี้เกษตรกรต้องรับภาระค่าตรวจ 1,200 บาทต่อล็อต ส่วนผลวิเคราะห์ Basic Yellow 2  ทางล้งที่เป็นผู้ส่งออกเป็นคนรับผิดชอบ ปัจจุบันในเมืองไทยยังไม่มีแล็ปที่สามารถตรวจผลได้สารนี้ได้ ซึ่งภาครัฐอยู่ระหว่างการเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อหาค่าเทียบเคียงเพื่อตรวจสอบในห้องปฏิบัติการและออกผลรับรอง อย่างไรก็ดีเวลานี้หากล้งใดใช้สารต้องห้ามนี้จะต้องสั่งระงับหรือเพิกถอนใบอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตรทันที

นายสัญชัย ปุรณะชัยคีรี นายกสมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย เผยว่า เรื่องสารต้องห้าม Basic Yellow 2 นี้ จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปูพรมตรวจค้นอย่างเข้มข้นว่าใครเป็นคนใช้ หรือมีแหล่งเก็บที่ใดบ้าง หากใครทราบขอให้ช่วยแจ้งเบาะแส  และเมื่อจับได้ต้องลงโทษตามกฎหมายขั้นสูงสุด ทั้งทางแพ่งและทางอาญา ล่าสุดผลประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) (13 ม.ค.68) ทางกรมวิชาการเกษตร รับปากว่าสามารถออกใบรับรอง “basic yellow 2” ภายในวันที่ 23 มกราคมนี้

จีนแบล็กลิสต์ สารต้องห้ามทุเรียน  ส่งออกถูกตีกลับเสียหายแล้ว 200 ล้าน

ด้านแหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)  เผยว่า ได้เห็นชอบเงินช่วยเหลือเกษตรกร 1,900 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตร 9กลุ่มสินค้า ได้แก่ พืชไร่ พืชน้ำมัน ผลไม้ พืชหัว ปศุสัตว์ ประมง เกลือ ดอกไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ และปัจจัยการผลิตภายใต้ 5 มาตรการ อาทิ  1.เพิ่มช่องทางตลาด/เชื่อมโยงและกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิต2.รณรงค์กระตุ้นการบริโภค 3.บริหารจัดการเพื่อลดอุปทานส่วนเกินภายในประเทศ   เช่น  ทุเรียนหมอนทอง (คละ) ราคาเป้าหมาย 106.49 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เป็นต้น

จีนแบล็กลิสต์ สารต้องห้ามทุเรียน  ส่งออกถูกตีกลับเสียหายแล้ว 200 ล้าน

อนึ่ง ในฤดูการผลิต ปี 2567  ไทยส่งออกผลไม้ไปจีน ทั้งสิ้น 101,884  ตู้/ชิปเม้นท์ ปริมาณรวม 1.8 ล้านตัน มูลค่ารวม 1.34 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกทุเรียน 52,960 ตู้/ชิปเม้นท์ ปริมาณ 823,777 ตัน มูลค่า 88,806 ล้านบาท

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,062 วันที่ 16 - 18 มกราคม พ.ศ. 2568