ลดเงินส่ง FIDF ภาระดอกเบี้ยพุ่งปีละ 500 ล้าน “คลัง” ยันไม่กระทบหนี้สาธารณะ

27 พ.ย. 2567 | 11:29 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ย. 2567 | 12:08 น.

สบน.เผยลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ไม่กระทบหนี้สาธารณะ คาดสิ้นปีงบ 68 อยู่ที่ 63% ระบุมีผลให้ยืดเวลาปิดหนี้ 1 ปี 6 เดือน ภาระดอกเบี้ยพุ่งปีละ 500 ล้านบาท

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เหลือ 0.23% นาน 3 ปีนั้น ยืนยันว่า ไม่มีผลต่อระดับหนี้สาธารณะไทย ซึ่งคาดว่าสิ้นปีงบประมาณ 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 63%บวกลบ จากเดือนต.ค.67 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 62.33%ต่อจีดีพี

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)

ทั้งนี้ การชำระหนี้ FIDF ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้รับภาระการชำระทั้งหมด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย มีเพียงสถานะเท่านั้น ที่ถูกบรรจุเข้ามาในรายการหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันมูลหนี้ FIDF คงเหลือประมาณ 5 แสนล้านบาท ประมาณการว่าจะครบกำหนดในปี 2575 โดยหากมีการลดเงินนำส่งจะส่งผลให้ระยะเวลาการชำระหนี้ยืดออกไปประมาณ 1 ปี 6 เดือน

“การลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ไม่ได้มีผลต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะ แต่ระยะเวลาในการชำระหนี้จะขยายออกไป และการลดเงินนำส่ง 1 ปี จะมีผลต่อสัดส่วนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เฉลี่ยปีละ 100-500 ล้านบาท ยืนยันว่า ส่วนนี้ไม่ได้มีผลต่อภาระงบประมาณของรัฐบาล แต่เป็นภาระของธปท.”

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ธปท. ได้ประเมินผลถึงการลดเงินนำส่ง FIDF แล้วว่ามีความคุ้มค่าจึงดำเนินการ เพราะหากมองในภาพรวมประโยชน์การลดเงินนำส่งก็กลับไปช่วยสถาบันการเงินเอง ซึ่งหนี้ที่จะช่วยเหลือตามนโยบายนั้นยังไม่เสีย เมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้ก็จะสามารถกลับมาชำระหนี้ได้   

สำหรับการดูแลลูกหนี้ตามนโยบายของรัฐนั้น ก่อนหน้านี้ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เบื้องต้น จะเป็นการพักดอกเบี้ย และผ่อนเฉพาะเงินต้น เพื่อดูแลให้กลุ่มนี้สามารถผ่อนชำระหนี้และไปต่อไป โดยมีรายละเอียดเงื่อนไขการเข้าร่วม ได้แก่

  • บ้าน ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็น NPL ไม่เกิน 1 ปี
  • รถยนต์ ราคาไม่เกินคันละ 8 แสนบาท เป็น NPL ไม่เกิน 1 ปี
  • เอสเอ็มอี ยอดสินเชื่อไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นหนี้เสียไม่เกิน 1 ปี

“จากข้อมูลข้างต้น พบว่า ขณะนี้กลุ่มที่เป็นหนี้เสียบ้านมีอยู่ 4.6 แสนบัญชี มูลหนี้ 4.8 แสนล้านบาท กลุ่มหนี้เสียรถยนต์ มีอยู่ 1.4 ล้านบัญชี มูลหนี้ 3.7 แสนล้านบาท และกลุ่มเอสเอ็มอี 4.3 แสนบัญชี มูลหนี้ 4.5 แสนล้านบาท”