สศช.พบสัญญาณอันตราย เบี้ยวจ่าย "หนี้บ้าน" พุ่ง ซมภาวะการเงินตึงตัว

25 พ.ย. 2567 | 10:17 น.
อัปเดตล่าสุด :25 พ.ย. 2567 | 10:24 น.

สศช.เตือนสัญญาณอันตราย หลังพบตัวเลขการผิดนัดชำระหนี้บ้านพุ่ง หนี้เสียขยายตัว 23.2% สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของครัวเรือนที่ตึงตัว เสี่ยงกระทบเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว

วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2567) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า ขณะนี้ สศช. เห็นสัญญาณแนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น สะท้อนจากข้อมูลเครดิตบูโร ทั้งการขยายตัวของมูลค่าหนี้เสียที่สูงถึง 23.2% จาก 18.2% จากไตรมาสที่ผ่านมา และสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.34% จาก 3.98% ของไตรมาสก่อนหน้า 

ทั้งนี้การเลือกที่จะผิดนัดชำระหนี้บ้าน ที่ถือเป็นสินทรัพย์จำเป็น ทั้งต่อการอยู่อาศัยและบางส่วนยังใช้เป็นสถานที่ในการประกอบอาชีพ สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของครัวเรือนที่ตึงตัว 

ที่ผ่านมาจากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบว่า ลูกหนี้ที่มีการก่อหนี้หลายประเภทเกือบ 1 ใน 3 เลือกที่จะผิดนัดหรือหยุดชำระสินเชื่อบ้านก่อนสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากมีความสามารถในการชำระหนี้จำกัด จึงเลือกรักษาวงเงินที่เหลือในสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลไว้จับจ่ายใช้สอยแทน 

อีกทั้งเมื่อพิจารณาหนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยจำแนกตามวงเงินสินเชื่อ จะพบว่า วงเงิน ต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีสัดส่วนหนี้เสียสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวงเงินอื่น สะท้อนให้เห็นว่า ครัวเรือนกลุ่มดังกล่าว เป็นกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวอีกด้วย

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาหนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

ขณะที่แนวโน้มการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลยังเพิ่มขึ้น โดยเป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราการผิดนัดชำระที่สูง ซึ่งหากครัวเรือนไม่ระมัดระวังในการก่อหนี้หรือไม่มีวินัยทางการเงิน จะนำไปสู่การติดกับดักหนี้ 

แม้ว่าปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหานี้ผ่านมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) แต่สัดส่วนสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลยังคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด และมีสัดส่วนของมูลค่าหนี้เสีย (NPLs) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับหนี้ครัวเรือนประเภทอื่น

อย่างไรก็ตามสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนในแต่ละประเภทสินเชื่อในไตรมาสสอง ปี 2567 พบว่า  สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขยายตัว 3% ชะลอลงจาก 3.5% ของไตรมาสก่อนเนื่องจากการสิ้นสุดการผ่อนปรนมาตรการควบคุมสินเชื่อบ้าน (LTV) และการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินสะท้อนจากมูลค่าสินเชื่อปล่อยใหม่ของสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากข้อมูลเครดิตบูโรในไตรมาสสอง ปี 2567 ที่หดตัวในทุกวงเงินสินเชื่อ

ขณะที่ กลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น ขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 4.1% จาก 5% ของไตรมาสที่ผ่านมา โดยสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่นทั้งหมด ขยายตัว 4.4% เทียบกับ 4.2% ของไตรมาสก่อนหน้า ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับขยายตัวชะลอลงจาก 10.4% เหลือ 6.3% และสินเชื่อบัตรเครดิต หดตัว 1.1% 

ทั้งนี้แม้ภาพรวมการก่อหนี้ของสินเชื่อกลุ่มนี้จะขยายตัวชะลอลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังและติดตามการกู้ยืมของครัวเรือนเนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Unsecured Loan) และปัจจุบันสัดส่วนของสินเชื่อประเภทนี้ต่อหนี้ครัวเรือนทั้งหมดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 25% ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2555 มาเป็น 27.9% หรือ เกือบ 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด