รายงานข่าวจากรัฐสภา แจ้งว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 มีวาระการประชุมเรื่องที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ. .... สำหรับใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท
รายงานข่าวระบุว่า ถือเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ตก้อนแรกจากแหล่งที่มาทั้งหมดที่รัฐบาลจัดหามาใช้ในโครงการฯรวมทั้งสิ้น 4.5 แสนล้านบาท สำหรับข้อสังเกตของคณะกมธ.วิสามัญ ฯ มีจำนวน 8 ข้อ ดังนี้้
ในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet และโครงการอื่นใดในอนาคต ควรมีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาคำนวณ Fiscal Multiplier MPC (Marginal Propensity to Consume) และอัตราการหมุนของเงิน (Velocity of Money) และควรระบุเงื่อนไข การเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้ใน TOR ด้วย
การกำหนดสัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่อรายจ่ายประจำ เห็นควรให้สำนักงบประมาณพิจารณาการกำหนดนิยาม “รายจ่ายลงทุน” ให้มีรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
เพื่อให้การใช้งบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจสูงสุด การกำหนดรายการสินค้าที่ไม่สามารถใช้จ่ายเงินตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (Negative List) ควรขยายให้ครอบคลุมผู้ประกอบการไทยมากที่สุด และควรนำข้อมูลโครงสร้างการผลิต สัดส่วนปัจจัยการผลิตในประเทศและต่างประเทศมาพิจารณา
คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีหน้าที่ให้คำปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับนโยบายที่ส่งผลต่อการแข่งขันตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 จึงควรให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (หรือสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า) เข้ามามีส่วนร่วมให้คำปรึกษา และประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ที่จะใช้งบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติมฯ
โดยเฉพาะในด้านที่จะกระทบต่อการแข่งขันในตลาดค้าปลีกค้าส่ง ทั้งภาพรวมของตลาดระดับประเทศและระดับพื้นที่ เนื่องจากตลาดค้าปลีกค้าส่งในปัจจุบันมีการกระจุกตัวค่อนข้างสูง
ควรมีการประชาสัมพันธ์การกระทำที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ให้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ เพื่อเป็น การป้องกันการกระทำความผิด และควรมีหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม กรณีที่มีการพบเห็นการกระทำความผิดในการใช้เงินตามโครงการดังกล่าว โดยมีช่องทางที่ประชาชนสามารถติดต่อได้โดยสะดวก
รัฐควรจัดให้มีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและเปิดเผยมาตรการดังกล่าวให้ประชาชนทราบ และควรให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลการกำหนดนโยบาย และมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท
ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า ข้อมูลการซื้อขายระหว่างประชาชนกับร้านค้า หรือร้านค้ากับร้านค้าที่เกิดขึ้นในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะไม่ได้ถูกส่งตรงไปยังกรมสรรพากร แต่หากมีกฎหมายอื่นที่กำหนดให้มีการส่งข้อมูลทำธุรกรรมทางการเงินแก่สรรพากร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือสถาบันการเงินก็จะต้องดำเนินการส่งข้อมูลตามกฎหมายนั้น
รัฐควรมีมาตรการส่งเสริมการลงทุน การเข้าถึงแหล่งเงินลงทุน และให้คำปรึกษาเรื่องการประกอบกิจการ ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนที่ประสงค์จะนำเงินจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ไปรวมตัวกันเพื่อประกอบกิจการสามารถดำเนินการได้โดยสะดวก