เศรษฐกิจไทยวันนี้ในมุมมอง"สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง"หนักกว่า"วิกฤตต้มยำกุ้ง"

05 ก.ค. 2567 | 07:08 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ค. 2567 | 09:01 น.
17.9 k

"สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" เจ้าของวลีดัง "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" มองเศรษฐกิจไทยวันนี้ หนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 เพราะเป็นกันทั้งโลก ชี้สาเหตุประเทศไทยวันนี้แย่เพราะนักการเมือง ยกโมเดลญี่ปุ่น กุญแจดอกสำคัญช่วยแก้ปัญหา

วิกฤตต้มยำกุ้งเวียนมาบรรจบครบรอบ 27 ปี หลังวิกฤตดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย เศรษฐกิจ ธุรกิจจนมีผู้ล้มละลายเป็นจำนวนมาก หลังรัฐบาลขาดเงินตราต่างประเทศที่จะสนับสนุนค่าเงินบาทจนต้องประกาศปล่อยค่าเงินลอยตัว ทำให้ค่าเงินบาทมีมูลค่าลดลงกว่า 50% หลังการใช้มาตรการดังกล่าวเพียง 6 เดือน

จากวันนั้นถึงวันนี้ เมื่อเอ่ยถึงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ว่ากันว่าประเทศไทยคือจุดเริ่มต้น ก่อนลุกลามไปหลายประเทศในทวีปเอเชีย ชื่อหนึ่งที่ไม่เคยถูกลืมเลือน และมักถูกนึกถึงเป็นลำดับแรกก็คือ "สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" เจ้าพ่อเหล็กผู้ล้มละลายจากต้มยำกุ้ง เจ้าของวลีดัง "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย"

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" จึงถือโอกาสสัมภาษณ์ "สวัสดิ์" ถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมา

วิกฤตเศรษฐกิจหนักกว่าต้มยำกุ้ง

สวัสดิ์ บอกว่า เศรษฐกิจเวลานี้น่าเป็นห่วงมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งมาก เพราะเป็นกันทั้งโลก แต่ที่ผ่านมามีจุดเริ่มต้นมาจากต้มยำกุ้ง ก่อนที่จะเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ตามมา แต่ไม่ได้กระทบกับทั้งโลกเหมือนปัจจุบัน โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ไม่นาน ก็เกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หลังจากนั้นก็มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสตามมา เพราะฉะนั้นจึงหนักหนาสาหัสกว่ากันมาก

 

เศรษฐกิจไทยวันนี้ในมุมมอง\"สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง\"หนักกว่า\"วิกฤตต้มยำกุ้ง\"

 

ขณะที่สนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศของทุกประเทศที่เคยเซ็นร่วมกันไว้ เวลานี้ก็ใช้ไม่ได้ เนื่องจากต่างคนต่างใช้นโยบายการเอาตัวรอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเว้นภาษีขาเข้าที่เคยเอื้ออารีต่อกันปัจจุบันก็แทบจะไม่มีแล้ว   

ประเทศไทยแย่เพราะนักการเมือง

หากถามว่าประเทศไทยจะมีทางออกได้อย่างไร สวัสดิ์ ตอบชัดเจนว่า ไทยเวลานี้ไม่มีใครเข่นฆ่าก็อาสัญ โดยการเมืองในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับได้ หรือเรียกว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยตายเพราะพูดแต่คำว่าประชาธิปไตย หรือเสรีภาพ ซึ่งต้องเรียนว่าเรื่องความเหลื่อมล้ำนั้น คงไม่มีผู้นำคนใดในโลกที่จะทำให้คนในชาติรวยเท่ากันได้ โดยความเหลื่อมล้ำทุกประเทศก็มีเหมือนกัน

"ประเทศไทยวันนี้แย่เพราะนักการเมือง ลองดูผลงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันเกือบ 1 ปี มีหรือไม่โครงการแบบถาวรที่ช่วยสร้างงานให้กับคนในชาติ ที่สำคัญมองแล้วยังมองไม่เห็นอนาคตที่ดี ขณะที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองก็ทำหน้าเป็นเซลล์แมนเดินทางไปทุกจังหวัด ลงไปสำรวจร้านค้าแผงลอย ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าใดนัก"

อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าประเทศไทยไม่ใช่ถึงทางตัน แต่นักการเมืองคือผู้ที่ทำให้ตัน โดยมองว่ายังมีกุญแจดอกสำคัญมากมายที่จะช่วยเศรษฐกิจ แต่ไม่เคยถูกนำมาดำเนินการ ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่เจริญขึ้นมาได้มีการพัฒนาอย่างเป็นระบบ

"สมัยก่อนตอนเดินทางไปญี่ปุ่น และต้องลงที่สนามบินนาริตะ จะต้องใช้เวลานั่งรถหลายชั่วโมงกว่าจะถึงโตเกียว หลังจากนั้นญี่ปุ่นได้มีการพัฒนารถไฟความเร็วสูง หรือที่เรียกว่าชินคันเซ็น อีกทั้งยังสร้างรถไฟทั่วทุกจังหวัด โดยประเด็นที่สำคัญก็คือไม่มีผู้ใดที่ได้กำไรจากสัมปทาน หรือค่าตั๋ว แต่ได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการสร้างเมืองใหม่ หลังจากนั้นจึงสร้างสินค้าโอท็อป และสร้างเมืองใหม่อย่างต่อเนื่อง"

เช่นเดียวกับประเทศในยุโรปซึ่งมีการสร้างเมืองใหม่ โดยมุ่งเน้นการเดินทางโดยรถไฟทำให้รถแทบไม่สามารถสัญจรไปมาได้ มีร้านค้าจำหน่ายสินค้าบนฟุตบาท และมีเมืองที่ดี หรือชุมชนที่สวยงาม

เปลี่ยนระบบการทำเกษตร

ส่วนภาคการเกษตรของไทยมองแล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้า โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เคยตรัสมานานแล้ว และมีการสร้างนิคมการเกษตรขึ้น ซึ่งคนไทยจะต้องเปลี่ยนความคิดของตนเอง เรียกว่าเป็นความต้องการที่ดินเพื่อทำมาหากิน ไม่ใช่ต้องการเป็นเจ้าของที่

นักการเมืองไม่ต้องพยายามไปออกพื้นที่ สปก. แต่จะต้องสนับสนุนให้ทำระบบนารวม เพราะหากทำแค่ 5-10 ไร่คงไม่คุ้ม การจะนำน้ำมาให้พื้นที่เพียงเท่านี้ และปลูกไม่พร้อมกันก็เปลืองน้ำ และไฟฟ้า โดยการทำระบบนารวมก็มาดูว่าชุมชนมีเท่าไหร่ มีประชาชนเท่าไหร่ ทำเป็นรูปแบบบริษัท ให้ทุกคนเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด และเป็นลูกจ้างเบ็ดเสร็จ โดยหลายกระทรวงจะสามารถทำงานร่วมกัน และช่วยเหลือกันได้ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตร พาณิชย์ช่วยการขาย กระทรวงอุตสาหกรรมช่วยแพคเก็จจิ้ง และพัฒนาอาหาร  กระทรวงวัฒนธรรมช่วยเรื่องตำนาน หรือสร้างเรื่องราวให้น่าสนใจ

เปลี่ยนระบบการปกครองทางรอดไทย

สวัสดิ์ ระบุถึงทางรอดของไทยในเวลานี้ด้วยว่า จะต้องเปลี่ยนระบบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบนี้ตนรับไม่ได้ โดยเวลานี้เด็กรุ่นใหม่ที่มาเป็นนักการเมือง ความรู้ดี จบนอก และรวยจากพ่อแม่ แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ทุกคนไม่มีประสบการณ์ชีวิตจากการทำธุรกิจ แค่รวยเพราะพ่อแม่สร้างตัวมา  

"เศรษฐกิจวันนี้จะเลวร้ายกว่าในอดีตช่วงต้มยำกุ้ง หรือแฮมเบอร์เกอร์เยอะมาก เรียกว่าเวลานี้เชื่อใครไม่ได้เลยว่ากูรูคนไหนที่บอกว่าใน 3-6 เดือนเศรษฐกิจจะดีขึ้น ตนไม่เชื่อใครเลย เงินดิจิทัลแจก 50 ล้านคน คนละ 1 หมื่นบาท ถามว่าจะไปช่วยอะไรได้ ใช้ 1-2 อาทิตย์ก็หมดแล้ว แต่ประเทศชาติต้องรับผิดชอบถึง 5 แสนล้านบาท ถามว่าไหวหรือไม่ และเวลานี้งบประมาณของไทยมีเพียง 3.7 ล้านล้านบาท มีรายได้จากการเก็ยภาษีเท่าไหร่ ต้องกู้อีกประมาณ 1 ล้านล้านบาท"

สวัสดิ์ ยังได้ฝากข้อคิดไว้ให้นักการเมืองวันนี้ด้วยว่า ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เวลาประชุมสภาก็ไม่ได้สาระอะไรที่จะมาพัฒนาประเทศ อีกทั้งยังเปลืองงบประมาณแต่ละครั้งเป็น 10 ล้าน ภาษีประชาชน ทั้งค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร เวลานี้กำลังซื้อในประเทศแทบไม่มี ควรมองหาลู่ทางว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไรมากกว่า