"เจ้าสัวธนินท์" ชี้เป้า "ทุเรียน-ถั่วเหลือง-อาหารแทนยา" โอกาสทองอาหารไทย

28 มิ.ย. 2567 | 16:36 น.
อัปเดตล่าสุด :28 มิ.ย. 2567 | 19:16 น.
5.9 k

"เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์" แสดงวิสัยทัศน์ “โอกาสไทยกับความมั่นคงอาหาร” บนเวที THACCA SPLASH Soft Power Forum 2024 ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่โลก แนะรัฐลงทุนเทคโนโลยีเกษตร ชี้เป้าโอกาสทอง "ทุเรียน ถั่วเหลือง อาหารแทนยา และ เทคโนโลยีตัดต่อยีนส์" ดันตั้งกองทุนสนับสนุน

วันนี้ (วันที่ 28 มิถุนายน 2567) เจ้าสัวธนินท์ โชว์วิสัยทัศน์ “โอกาสไทยกับความมั่นคงอาหาร” บนเวที THACCA SPLASH  Soft Power Forum 2024 ซึ่งเป็นงานประชุมซอฟต์พาวเวอร์ระดับนานาชาติครั้งแรกที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลไทย ซึ่งถือเป็นการประกาศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์อย่างเป็นทางการ ในระหว่างวันที่ 28-30 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 1-2

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ CP กล่าวถึงว่า เมืองไทยเต็มไปด้วยโอกาสโดยเฉพาะหลังโควิด ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นและมั่นใจว่าในนามของรัฐบาลชุดนี้จะนำเศรษฐกิจไปสู่ความรุ่งเรืองและประชาชนอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจพื้นฐานของไทยเราเป็นเกษตรครับ ผมเลยจะพูดเรื่องเกษตร เกษตร มีข้าว พืช สวน สมุนไพร

\"เจ้าสัวธนินท์\" ชี้เป้า \"ทุเรียน-ถั่วเหลือง-อาหารแทนยา\" โอกาสทองอาหารไทย

หนึ่งในโอกาสทองที่เห็นคือ "ภาคเกษตร" ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย เลยจะพูดเรื่องเกษตร เกษตร มีข้าว พืช สวน สมุนไพรโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมุนไพร ซึ่งมีความต้องการจากทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพ

สมุนไพรยิ่งในยุคนี้มีความต้องการมากขึ้น คนทานอาหารเป็นยาประเทศไทยมีสมุนไพรมาก ทางเครือก็อยากจะให้รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริม เพราะสมุนไพรมันต้องมีเรื่องของความปลอดภัย ไม่มียาฆ่าแมลง ตรงนี้ทั่วโลกต้องการครับ สมุนไพรไทยหลายชนิดที่ประเทศไทยได้ผลิตมีคุณภาพสูง

\"เจ้าสัวธนินท์\" ชี้เป้า \"ทุเรียน-ถั่วเหลือง-อาหารแทนยา\" โอกาสทองอาหารไทย

นายธนินท์กล่าวว่า ยังมองเห็นโอกาสในธุรกิจถั่ว ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่สามารถทดแทนเนื้อสัตว์ได้เราจะไปเรื่องเซลล์เรื่องอะไรยังอีกนาน การทำอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต้นทุนยังสูงครับ ไม่ง่าย แต่เรื่องที่ง่ายที่สุดตอนนี้คือเรื่องถั่ว แต่เราก็ยังละเลยทั้งนี้มองว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาคเกษตร โดยเฉพาะสมุนไพร และถั่วทางเครือก็อยากจะให้รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริม เพราะว่ามันมีโอกาสสูงมาก

 

นอกจากถั่วแล้วอยากจะผลักดัน "ทุเรียน" ให้กลายเป็นสินค้าเกษตรหลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ โดยให้เหตุผลดังนี้

  • ศักยภาพของตลาด: ทุเรียนเป็นที่นิยมในประเทศจีนซึ่งมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน แต่ปัจจุบันคนจีนบริโภคทุเรียนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร หมายความว่ายังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมหาศาล
  • ความได้เปรียบด้านพันธุ์: ประเทศไทยมีพันธุ์ทุเรียนชั้นดีหลายสายพันธุ์ เช่น หมอนทอง กำแพงเพชร
  • โอกาสในธุรกิจแปรรูป: ทุเรียนสามารถแปรรูปเป็นสินค้าหลากหลายชนิด เช่น ไอศกรีม ขนมหวาน

\"เจ้าสัวธนินท์\" ชี้เป้า \"ทุเรียน-ถั่วเหลือง-อาหารแทนยา\" โอกาสทองอาหารไทย

อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการพัฒนาในหลายด้าน ได้แก่ การพัฒนาพันธุ์ทุเรียนที่มีคุณภาพสูง ป้องกันโรค ทนทานต่อสภาพอากาศ หรือพัฒนาระบบจัดการสวนทุเรียนที่มีประสิทธิภาพรวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน ที่สำคัญต้องปรับแก้กฎหมายให้เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจทุเรียน โดยรัฐบาลควรสนับสนุนเกษตรกรด้านเงินทุน เทคโนโลยี ความรู้ รวมถึงตั้งกองทุนสนับสนุน เพื่อรับความเสี่ยงแทนการกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งกองทุนจะเข้าใจมากกว่า

นอกจากทุเรียนแล้ว ยังมองว่าประเทศไทยมีโอกาสพัฒนาสินค้าเกษตรอื่นๆที่มีมูลค่าสูง เช่น ถั่วเหลือง อีกประเด็นสำคัญ คือ การพัฒนา "เทคโนโลยีตัดต่อยีนส์" เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลง เพิ่มผลผลิต และพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร

นอกจากนี้ทาง CP มองเห็นโอกาสในธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะ "อาหารแทนยา" หรืออาหารสำเร็จรูปที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง อาหารเหล่านี้ จำเป็นต้องมีรสชาติที่อร่อย ไม่น่าเบื่อ และยังคงคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละกลุ่ม

CP มองว่า "อาหารแทนยา" เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังในประเทศไทยมีจำนวนมาก และผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการอาหารที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของพวกเขาอย่างไรก็ตาม การพัฒนา "อาหารแทนยา" นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิจัย เพื่อพัฒนาสูตรอาหารที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และตรงกับความต้องการของผู้ป่วย

\"เจ้าสัวธนินท์\" ชี้เป้า \"ทุเรียน-ถั่วเหลือง-อาหารแทนยา\" โอกาสทองอาหารไทย

นายธนินท์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับความสำคัญของการพัฒนาระบบชลประทานในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบว่า “ในยุคปัจจุบัน ถนนหนทางมีเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่จำเป็นมากกว่าคือ ‘น้ำ’ ทรัพยากรที่มีศักยภาพสูง รอการนำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบ” การลงทุนในระบบชลประทานนั้น เปรียบเสมือนการลงทุนที่มี “กำไร” มากกว่าการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ

1.น้ำ หล่อเลี้ยง “การเกษตร” ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านภูมิประเทศและสภาพอากาศ เหมาะแก่การเกษตร หากมีระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพ จะส่งเสริมให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร

2.น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญในการ “พัฒนาเศรษฐกิจ” ในทุกภาคส่วน ทั้งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการใช้สอยในครัวเรือน การมีระบบชลประทานที่ดี จะช่วยให้มั่นใจว่ามีน้ำเพียงพอต่อความต้องการ ส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “บุคลากร” ในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบชลประทาน โดยเสนอให้รัฐบาลส่งเสริมการศึกษาและฝึกอบรม เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านชลประทานดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ มาถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีชลประทานที่ทันสมัย

\"เจ้าสัวธนินท์\" ชี้เป้า \"ทุเรียน-ถั่วเหลือง-อาหารแทนยา\" โอกาสทองอาหารไทย

“ผมเชื่อมั่นว่า รัฐบาลชุดนี้มีความมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี การลงทุนในระบบชลประทาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย ” สุดท้าย นายธนินท์ มองว่าภาพยนตร์เรื่อง "หลานม่า" เป็นตัวอย่างที่ดีของ "ซอฟต์พาวเวอร์" ที่ควรได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ

สรุป นายธนินท์ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาภาคเกษตรให้เป็นแหล่งสร้างรายได้หลักของประเทศ โดยเฉพาะ "ทุเรียน" "ถั่วเหลือง" และ "เทคโนโลยีตัดต่อยีนส์" ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีการพัฒนาในหลายด้านควบคู่กันไป โดยเฉพาะ "กฎหมาย" "การสนับสนุนจากภาครัฐ" และ "การลงทุนในเทคโนโลยี"