กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉิน หลังไฟไหม้โรงงานสารเคมี

09 พ.ค. 2567 | 06:19 น.

กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉิน หลังไฟไหม้โรงงานสารเคมี มุ่งทำงานเชิงรุกในการกำหนดระบบ แผน และมาตรการ ระบุสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดเหตุรุนแรงและเป็นภาวะฉุกเฉินในพื้นที่จุดเสี่ยงต่อเนื่อง 

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) จัดตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉินจากการประกอบการที่อยู่ใน
ความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม
(ศบฉ.อก.) เพื่อทำงานเชิงรุกในการกำหนดระบบ แผน และมาตรการกรณีเกิดภาวะฉุกเฉิน 

รวมทั้งการสั่งการให้ส่วนราชการในสังกัดปฏิบัติ พร้อมทั้งจัดทำรายงานและเผยแพร่ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิบัติงาน การป้องกันเฝ้าระวังเหตุ และการบริหารงานในภาวะฉุกเฉินภายของกระทรวงมีความคล่องตัว รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมาได้เกิดเหตุที่มีความรุนแรงและเป็นภาวะฉุกเฉินในพื้นที่จุดเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับโครงสร้างของ ศบฉ.อก. จะมี นายสุรพล ชามาตย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นที่ปรึกษา ,นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกำกับตรวจสอบกระบวนการผลิต เป็นหัวหน้า ศบฉ.อก. 
 

และมีผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มตรวจราชการ 1-6 

กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉิน หลังไฟไหม้โรงงานสารเคมี

โดยมีผู้อำนวยการกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเลขานุการประจำศูนย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมเทคโนโลยีความปลอดภัยโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเลขานุการประจำศูนย์ร่วม และผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้ช่วยเลขานุการประจำศูนย์ 

"เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ได้เน้นย้ำให้ ศบฉ.อก. วางมาตรการป้องกัน เฝ้าระวังและสกัดกั้นการเผชิญเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง หรือพื้นที่มีการรายงานการกระทำผิด โดยเฉพาะจุดที่มีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมที่เป็นประเด็นอยู่ในสังคมขณะนี้ คือ บริษัท วิน โพเสส จำกัด จังหวัดระยอง และ บริษัท เอกอุทัย จำกัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับรายงานว่า ทั้ง 2 บริษัทเป็นเครือข่ายที่มีความเชื่อมโยงทางธุรกิจกันอย่างมีนัยสำคัญ"
 
 

นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้า ศบฉ.อก. กล่าวว่า  ศบฉ.อก. ได้มีการประชุมเพื่อวางแผนจัดทำมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการเผชิญเหตุสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน เช่น การเกิดอัคคีภัย การรั่วไหลของสารเคมีและวัตถุอันตราย เป็นต้น

ซึ่งได้จัดทำแผนและมาตรการในการดำเนินงานใน 3 ระดับ ประกอบด้วย  

  • แผนและมาตรการป้องกันความเสี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดเหตุ เช่น มอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัดประสานผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการร่วมตรวจสอบเฝ้าระวังโรงงาน สถานประกอบการ และโกดังคลังสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม เช่น โรงงานผู้รับกำจัดกากอุตสาหกรรม โรงงานหล่อหลอมโลหะ โรงงานเคมีภัณฑ์ โรงงานผลิตปุ๋ยเคมี โรงงานน้ำแข็งและห้องเย็น รวมถึงโรงงาน สถานประกอบการ และโกดังคลังสินค้าที่มีการกักเก็บสารเคมีและวัตถุอันตราย นอกจากนี้ ได้สั่งการให้จัดเตรียมข้อมูลวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ สารเคมี กากอุตสาหกรรม วัตถุอันตราย และแผนผังโรงงานที่มีความเสี่ยง เพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุได้อย่างทันท่วงที 
  • แผนและมาตรการระงับเหตุ โดยการจัดหาอุปกรณ์สนับสนุนการดับเพลิง เช่น โฟม สารเคมีดับเพลิง และถังบรรจุสารเคมี แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมทีมดับเพลิงระงับเหตุ ให้ข้อมูลโรงงาน สารเคมี วัตถุอันตราย แผนผังโรงงาน สนับสนุนวิธีการและมาตรการสำหรับทีมดับเพลิงระงับเหตุ จัดตั้งทีมสื่อสารเพื่อประสานงาน รวบรวม ชี้แจงและเผยแพร่ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องตลอดเวลา อีกทั้ง การจัดเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัยในเบื้องต้น เช่น การสนับสนุนเครื่องอุปโภค บริโภค อาหาร น้ำดื่ม หน้ากากอนามัย ผ่านโครงการ “อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทย” ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ 
  • แผนและมาตรการฟื้นฟูพื้นหลังการเกิดเหตุ เช่น การจัดตั้งทีมกฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างถึงที่สุด การจัดทำขั้นตอนการดำเนินการคัดแยก การนำสารเคมีและกากอุตสาหกรรมออกจากพื้นที่ และการนำของเสียจากที่เกิดเหตุไปทำการบำบัดและกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ตลอดจนตรวจวัดติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งดิน น้ำ และอากาศ บริเวณสถานที่เกิดเหตุและชุมชนโดยรอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลกระทบ และจัดทำแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที