เปิดโปรแกรม “เศรษฐา” บินยาว 3 ประเทศ 15-24 พฤษภาคม 2567

03 พ.ค. 2567 | 14:40 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ค. 2567 | 14:48 น.
1.7 k

เปิดโปรแกรม นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” เดินทางไปเยือนต่างประเทศยาว 3 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15-24 พฤษภาคม 2567 พร้อมผลักดันความร่วมมือระหว่างกัน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า ในเดือนพฤษภาคม 2567 นี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะ เบื้องต้นมีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศ โดยเริ่มต้นเดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศส และอิตาลี ในช่วงระหว่างวันที่ 15-21 พฤษภาคม 2567 นี้ จากนั้นในวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2567 นายกฯ และคณะ จะเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเดินทางต่อเนื่องจากการเยือนยุโรป

“นายกฯ มีโปรแกรมเดินทางไปเยือนต่างประเทศหลายประเทศไทยช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 นี้ ต่อเนื่อง โดยหลัก ๆ แล้วในการเดินทางเยือนฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งวาระสำคัญ คือ นายกฯ จะสานต่อความก้าวหน้าในการผลักดัน Soft Power ที่เคยได้เริ่มต้นไปก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการผลักดันการเจรจา FTA ไทย-อียูด้วย” นายชัย ระบุ

ทั้งนี้ตั้งแต่การเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปพบปะผู้นำประเทศมหาอำนาจและนักลงทุนทั่วโลกกว่า 12 ครั้ง รวม 14 ประเทศ และ 1 เขตบริหารพิเศษ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา กัมพูชา จีน บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ ซาอุดีอาระเบีย สปป.ลาว ญี่ปุ่น สวิส ศรีลังกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี เขตบริหารพิเศษฮ่องกง

ก่อนหน้านี้ในการเดินทางต่างประเทศครั้งล่าสุดของ นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เดินทางเยือนออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยเข้าร่วมในกรอบการประชุมอาเซียน - ออสเตรเลีย ได้พบกับผู้นำหลายประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ลาว ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และพบปะกับภาคเอกชนสำคัญระดับโลกของออสเตรเลีย จำนวน 6 บริษัทด้วยกัน 

ต่อจากนั้นเดินทางไปที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี เพื่อร่วมงาน ITB Berlin 2024 ซึ่งเป็นงานด้านการท่องเที่ยว โดยไทยจะผลักดันให้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย ยกระดับอาหาร แฟชั่น ให้เป็นที่ยอมรับระดับโลก รวมทั้งหารือกับมิชลินไกด์ และหารือกับบริษัทที่จะจัดกิจกรรมระดับโลก ได้แก่ Formula One, World Food Expo, Paris Fashion Week 

ต่อจากนั้น ได้เดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อพบกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เพื่อหารือเรื่อง FTA ไทย – อียู และการยกเลิกตรวจลงตราเชงเก้น ซึ่งไทยได้หารือกับหลายประเทศของยุโรป รวมทั้งยังได้พบกับเอกชนรายใหญ่ระดับโลกรวมทั้งสิ้น 23 ราย เช่นเดียวกับการผลักดันเรื่อง Soft Power ด้านแฟชั่นด้วย