"พิพัฒน์" พร้อมรับแรงงานลาว เร่งเจรจาทำเอ็มโอยู ฉบับใหม่

19 เม.ย. 2567 | 06:10 น.

"พิพัฒน์ รัชกิจประการ" รมว.แรงงาน หารือทูตสปป.ลาว พร้อมรับแรงงานลาวเข้ามาทำงานในไทย รับทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาทำบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ ปัจจุบันมีแรงงานตาม MOU แล้ว 1.6 แสนคน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับนายคำพัน อั่นลาวัน เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย ในประเด็นความร่วมมือด้านแรงงาน โดยทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อจัดทำบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่

ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน ได้มีการหารือเป็นการภายในแล้ว เห็นว่าควรปรับภาษาไทยและภาษาลาวให้เป็นภาษาอังกฤษฉบับเดียว ส่วนฝ่ายไทยอยู่ระหว่างจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อเสนอฝ่ายลาวพิจารณา

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน มีความยินดีที่จะรับแรงงานลาวเข้ามาทำงานในประเทศไทย เพราะแรงงานชาวลาว เป็นแรงงานที่อดทน ขยัน และซื่อสัตย์ คล้ายกับแรงงานไทย นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่คล้ายกันในอีกหลายด้าน ทั้งภาษา ศาสนา วัฒนธรรม แรงงานลาวมีบทบาทอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะมีจำนวนมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความแน่นแฟ้นต่อกัน และกระทรวงแรงงานพร้อมทำงานเพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันต่อไป

 

\"พิพัฒน์\" พร้อมรับแรงงานลาว เร่งเจรจาทำเอ็มโอยู ฉบับใหม่

ทั้งนี้ยังได้ขอขอบคุณรัฐบาลลาวที่จัดส่งแรงงานลาวเข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีแรงงานสัญชาติลาวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย ประมาณ 261,339 คน และที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานตาม MOU จำนวน 165,289 คน

“ขอขอบคุณท่านทูต และฝ่ายลาว ที่ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และจัดส่งแรงงานเข้ามาทำงาน เพื่อช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานให้ดียิ่งขึ้น อะไรที่เราทั้งสองฝ่ายจะหารือกันได้กระทรวงแรงงานยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นตัวกลางประสานดำเนินการให้” นายพิพัฒน์ ระบุ

 

\"พิพัฒน์\" พร้อมรับแรงงานลาว เร่งเจรจาทำเอ็มโอยู ฉบับใหม่

นายคำพัน อั่นลาวัน เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย กล่าวว่าทางการลาวเองพร้อมสนับสนุนให้แรงงานที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสนับสนุนความร่วมมือในการจัดทำบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ กับกระทรวงแรงงาน ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกับทั้งสองฝ่าย ที่สำคัญจะกระชับความสัมพันธ์ฉันท์มิตรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป