นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมมีศักยภาพในการเติบโตสูง เพราะสามารถสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรม และนำมาซึ่งการประชาสัมพันธ์ Soft Power ได้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและภาครัฐในการสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมการสร้าง Soft Power ไทย ให้สามารถต่อยอดในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และนำไปสู่การจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ อีกด้วย
สำหรับการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม (Event Tourism) เป็นการท่องเที่ยวที่มีพื้นที่กิจกรรมเป็นศูนย์กลางในการรวมตัวกันของชุมชน ส่งผลให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างรายได้สู่ชุมชน รวมไปถึงบริเวณโดยรอบ ขนาดกิจกรรมมีตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค ระดับประเทศ ไปจนถึงการจัดกิจกรรมในต่างประเทศ สำหรับประเภทของกิจกรรม อาทิ งานแสดงดนตรี คอนเสิร์ต งานเทศกาล การแข่งขันกีฬา การประชุม กิจกรรมองค์กร และงานแสดงสินค้า (MICE)
จากรายงาน Event Tourism Market Outlook from 2024 to 2034 โดยบริษัทวิจัยตลาด Future Market Insights (FMI) ในปี 2566 มูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมทั่วโลกอยู่ที่ 1.56 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 4.1 คาดว่ามูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมทั่วโลกในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับความต้องการในการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมทั่วโลก คาดว่าในช่วง 10 ปี (ปี 2567-2577) จะเติบโตร้อยละ 4.3 ต่อปี และจะมีมูลค่าสูงถึง 2.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2577
โดยมีปัจจัยมาจากแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับชุมชนที่มีความน่าสนใจ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความชื่นชอบระหว่างกัน และก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคขาดประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมในช่วงสถานการณ์โควิด-19
ทำให้ปัจจุบันหลายประเทศตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม โดยมีแนวทางการจัดกิจกรรมให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความสนใจใหม่ ๆ ของผู้บริโภค รวมทั้งใช้การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมในการเผยแพร่วัฒนธรรมให้แพร่หลาย อาทิ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย มีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวที่สามารถต่อยอดได้ โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทยจำนวน 28.04 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 151% สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 100% จากตัวเลขการท่องเที่ยวที่เติบโต แสดงให้เห็นถึงความต้องการในการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว และไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลกที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเลือกเป็นจุดหมายปลาง
ขณะที่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไทยมีการเติบโตในปี 2566 โดยธุรกิจที่มีนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ อาทิ การบริการอาหาร/เครื่องดื่ม มีจำนวนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ 4,528 ราย (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 32.40%) มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 8.87 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 21.05%) ที่พักแรมระยะสั้น มีจำนวน 907 ราย (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 30.13%) มูลค่า 3.74 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 53.95%)
อีกทั้งยังมีจุดแข็งด้านวัฒนธรรมและประเพณีที่สามารถต่อยอดและผสมผสานไปกับ การท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม จึงเป็นอีกหนี่งรูปแบบการท่องเที่ยวที่ควรส่งเสริม