เปิดสถิติ "ต่างชาติลงทุนไทยปี 67" กว่า 7.1 พันล้าน "ญี่ปุ่น-สิงคโปร์"แชมป์

16 ก.พ. 2567 | 11:31 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.พ. 2567 | 12:05 น.

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย สถิติต่างชาติลงทุนในไทย เดือนมกราคม มูลค่ารวม 7,171 ล้านบาท ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง 3,793 ล้านบาท ตามด้วย สิงคโปร์ 1,083 ล้านบาท และจีน 768 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 172 คน

 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ช่วงเดือนมกราคม 2567 ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 54 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 14 ราย

และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 40 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 7,171 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 172 คน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรกของเดือนมกราคม 2567 ได้แก่

1. ญี่ปุ่น 15 ราย เงินลงทุน 3,793 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ อาทิ 

  •     ธุรกิจบริการที่เป็นคู่สัญญากับภาคเอกชน โดยเป็นการจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์สำหรับโรงงานผลิตอะเซทีลีนแบล็ก (Acetylene Black Plant)
  •    ธุรกิจบริการกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) โดยเป็นการให้บริการแพลตฟอร์มกลางในการจัดหาแม่บ้าน/พนักงานทำความสะอาด
  •    ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (กระป๋องอลูมิเนียม/ชิ้นส่วนรถยนต์/อุปกรณ์สำหรับเครื่องจักรอุตสาหกรรม)

 

2. สิงคโปร์ 7 ราย เงินลงทุน 1,083 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ อาทิ 

  • ธุรกิจบริการ Data Center
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 
  • ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือให้บริการ (ซอฟต์แวร์บริหารทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน/ซอฟต์แวร์จัดการภายในร้านอาหาร)

3. จีน 7 ราย  เงินลงทุน 768 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ อาทิ

  • ธุรกิจบริการให้เช่านั่งร้านขนาดใหญ่ (Scaffolding) สำหรับค้ำยันรับน้ำหนักที่ใช้ในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
  • ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม/ยารักษาโรค/อุปกรณ์กีฬา)
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชิ้นส่วนเบาะรถยนต์/Specialty Coated Plastic Labels and Packaging Films)

4. สหรัฐอเมริกา 6 ราย เงินลงทุน 26 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ อาทิ

  • ธุรกิจบริการออกแบบ ติดตั้ง พัฒนา ปรับปรุง ยกระดับ ดูแล บำรุงรักษา เชื่อมโยง และให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น
  • ธุรกิจการขายอาหารและเครื่องดื่ม และบริการให้คำปรึกษาแนะนำและบริหารจัดการเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร
  • ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (เคมีภัณฑ์/เครื่องปรุงรส/สารและวัตถุเจือปนอาหาร)

5. ฮ่องกง 4 ราย เงินลงทุน 264 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ อาทิ

  • ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาแนะนำและบริหารจัดการ รวมทั้งฝึกอบรมในด้านการจัดการร้านอาหารและคาเฟ่ภายในร้านจำหน่ายสินค้า
  • ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ผลิตภัณฑ์กลุ่มภาพและเสียง (Audio Visualproduct)/ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสำนักงาน)
  •  ธุรกิจบริการแก่ธุรกิจสร้างภาพยนตร์ โดยเป็นการบริการประสานงานภาพยนตร์จากต่างประเทศที่มาถ่ายทำในประเทศไทย

เมื่อเปรียบเทียบเดือนมกราคมของปี 2566 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 2 ราย (4%)  และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 2,042 ล้านบาท (40%)  แต่มีการจ้างงานคนไทยลดลง 649 ราย (79%) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่น

ทั้งนี้การลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ในเดือนมกราคม 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 17 ราย คิดเป็น 31% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2566 จำนวน 9 ราย คิดเป็น 113% โดยมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC 2,296 ล้านบาท คิดเป็น 32% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 5 ราย ลงทุน 476 ล้านบาท, จีน 5 ราย ลงทุน 462 ล้านบาท, เกาหลี 2 ราย ลงทุน 280 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ อีก 5 ราย ลงทุน 1,078 ล้านบาท

โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค  ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม/Capacitor/ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ทำความสะอาดทุกประเภท)