"ดอกเบี้ยสูง"พ่นพิษทำธุรกิจ"SMEs"สะดุด-ผิดนัดชำระหนี้

22 ม.ค. 2567 | 10:36 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ม.ค. 2567 | 10:37 น.

"ดอกเบี้ยสูง"พ่นพิษทำธุรกิจ"SMEs"สะดุด-ผิดนัดชำระหนี้ สสว.เผยเอสเอ็มอีต้องการให้ภาครัฐเข้ามาดูแลและช่วยเหลือเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือการออกสินเชื่อที่เอื้อต่อการเข้าถึงของธุรกิจ

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลสำรวจเรื่องสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของเอสเอ็มอี SMEs ไตรมาส 4/66 ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลรายไตรมาส โดยสอบถามผู้ประกอบการ SME จำนวน 2,723 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 19-29 ธันวาคม 2566 พบว่า ผู้ประกอบการ SMEs มีภาระหนี้สิน 60.1% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ 60.3% 

โดยสาขาธุรกิจผลิตเครื่องหอม เครื่องสำอาง บริการเสริมความงาม/สปา/นวดเพื่อสุขภาพมีแนวโน้มมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสก่อน

สำหรับแหล่งกู้ยืมของธุรกิจ SMEs กลุ่มที่มีภาระหนี้สิน 71.9% กู้ยืมมาจากสถาบันการเงินอีก 28.1% มาจากแหล่งเงินทุนนอกระบบสถาบันการเงิน ได้แก่ เพื่อน ญาติพี่น้อง หรือนายทุนเงินกู้ ในภาพรวมการกู้ยืมนอกระบบปรับตัวลดลงจาก 33.8% ในไตรมาสก่อนหน้า
 

ผลจากกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) ที่เริ่มเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้เพิ่มขึ้นทั้งในรูปแบบของการกู้ยืมส่วนบุคคลและเพื่อการดำเนินกิจการ ซึ่งธนาคารปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อ ตามมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาล 

"ดอกเบี้ยสูง"พ่นรพิษทำธุรกิจ"SMEs"สะดุด-ผิดนัดชำระหนี้

แต่อาจต้องเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มขนาดย่อมที่มีแนวโน้มของการกู้ยืมนอกระบบสูงขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มประสบปัญหาการชำระหนี้สูงกว่าผู้ประกอบการกลุ่มอื่น

จากผลสำรวจยังพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 93.2% กู้ยืมเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 

รองลงมา คือ กู้ยืมเพื่อนำมาลงทุน และการชำระหนี้สินเดิม แต่ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคบริการและภาคการค้ายังพบปัญหาการยื่นกู้ไม่ผ่านเนื่องจากคุณสมบัติไม่ผ่าน ,ความไม่มั่นคงของลักษณะธุรกิจ และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน 

นอกจากนี้ผู้ประกอบการ SMEs กว่า 20% ประเมินว่าวงเงินสินเชื่อที่ได้รับยังน้อยเกินไป และ 40% ประเมินว่าระยะเวลาสัญญาสินเชื่อที่ได้รับสั้นเกินไป ส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ 

อย่างไรก็ดี จากสภาวะสภาพคล่องที่ลดลงและมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs กว่า 37% มีแนวโน้มประสบปัญหาการชำระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรายย่อยและขนาดย่อม เพราะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาหรือชำระได้แต่ผิดเงื่อนไขเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งกระทบต่อการเข้าถึงหรือขอเพิ่มสินเชื่อของธุรกิจ ผู้ประกอบการ SMEs จึงต้องการให้ภาครัฐเข้ามาดูแลและช่วยเหลือเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือการออกสินเชื่อที่เอื้อต่อการเข้าถึงของธุรกิจ

ขณะที่ผลสำรวจอีกด้านหนึ่งพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่มีหนี้สิน บางส่วนเริ่มมีแผนกู้ยืมในอนาคตเพื่อใช้ลงทุนในกิจการ ซึ่งธุรกิจขนาดย่อมจะนำไปขยายกิจการ ส่วนธุรกิจรายย่อยต้องการนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการ แต่ยังขาดความรู้ในเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมความรู้ในการจัดการบริหารการเงินและหนี้สินของธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจในไตรมาสนี้จะเห็นได้ว่ากลุ่มรายย่อยเริ่มเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น คาดเป็นผลจากนโยบายที่รัฐบาลส่งสัญญาณให้สถาบันการเงินช่วยเหลือประชาชนในการแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้กู้ยืมส่วนบุคคล แต่ด้วยลักษณะการใช้จ่ายเงินของกลุ่มรายย่อยซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว จะใช้เงินของกิจการและเงินส่วนบุคคลร่วมกันทำให้การกู้ยืมส่วนบุคคลเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการกลุ่มนี้ด้วย 

ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการขนาดย่อมซึ่งที่มีรายได้สูงกว่า 1.8 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี สำหรับกลุ่มการค้าและการบริการ และไม่เกิน 100 ล้านบาทสำหรับกลุ่มการผลิตกลับมีแนวโน้มการกู้ยืมนอกระบบสูงขึ้นอาจเกิดจากการกู้ยืมเต็มวงเงินแล้ว หรือการพิจารณาสินเชื่อยังมีขั้นตอนยุ่งยากและเงื่อนไขสูง ทำให้ต้องหาจากแหล่งเงินนอกระบบซึ่งผู้ประกอบการขนาดย่อมควรได้รับการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หรือระยะเวลาการกู้ยืมที่ยาวเพียงพอต่อความสามารถในการชำระคืน