"เจษฎ์ โทณะวณิก"สงสัยเปิดผับตี 4 แค่พื้นที่แพ้เลือกตั้ง ชี้หวังผลการเมือง

21 พ.ย. 2566 | 07:39 น.

"เจษฎ์ โทณะวณิก"สงสัยเปิดผับตี 4 แค่พื้นที่แพ้เลือกตั้ง ชี้หวังผลการเมือง ถามรัฐบาลมีการศึกษานโยบายก่อนตัดสินใจทำหรือยัง ทั้งในส่วนของข้อดีข้อเสีย ระบุหากยังไม่ได้ทำไม่จำเป็นต้องรีบเปิดในเดือนธันวาคม

เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 เป็นอีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึงความเหมาสะม

ล่าสุดรศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางด้านกฎหมาย ระบุในงานเสวนา “มิติใหม่เที่ยวไทยกับวัฒนธรรมกินดื่ม” ว่า มีข้อสังเกตถึงนโยบายการเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ว่า รัฐบาลมีการศึกษานโยบายนี้ ก่อนตัดสินใจทำแล้ว หรือยัง ทั้งในส่วนของข้อดีข้อเสีย 

สาเหตุที่เลือกเฉพาะพื้นที่นำร่อง กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการทำหวังผลทางการเมืองหรือไม่ 


 

ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 4 พื้นที่ดังกล่าวรัฐบาลเพิ่งแพ้การเลือกตั้งมาทั้งหมด นอกจากนี้ ต้องการให้รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เช่น ผู้ประกอบการ รวมถึงพิจารณาปัจจัยอื่นที่เชื่อมโยง อย่างความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเพียงพอหรือไม่

"เจษฎ์ โทณะวณิก"สงสัยเปิดผับตี 4 แค่พื้นที่แพ้เลือกตั้ง ชี้หวังผลการเมือง

“หากรัฐบาลศึกษาแล้วว่าเป็นนโยบายที่ดีคุ้มค่า ช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวได้จริงก็สามารถเปิดมากกว่าแค่ 4 จังหวัด แต่หากรัฐบาลยังไม่ได้ทำ ก็ไม่จำเป็นต้องรีบเปิดในเดือนธันวาคมนี้ สามารถทยอยเปิดทีหลังได้ ที่สำคัญรัฐบาลไม่จำเป็นต้องโฆษณาเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาไทยด้วยการชวนมากินดื่มอย่างเดียว เพราะที่จริงประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ขนบประเพณี ซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ที่ดีว่าการชวนมากินดื่ม  หากผลักดันเรื่องเหล่านี้ เชื่อว่าจะกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ดีกว่าขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงแน่นอน”

ผศ.ดร.สุทธิกร กิ่งแก้ว นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า นโยบายขยายเวลาสถานบันเทิงถึงตี 4 สามารถทำได้ แต่ต้องเริ่มจากจำกัดเป็นพื้นที่โซนนิงก่อน หากได้ผลดีก็ค่อยขยายไปจังหวัดอื่น

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องการเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหา คือวัฒนธรรมการดื่มของผู้มีรายได้น้อย ที่เข้าถึงการบริโภคสุราราคาถูกได้ง่าย จนเป็นบ่อเกิดความเสียหาย ทั้งด้านสุขภาพ สังคม และงบประมาณ เนื่องจากทุกวันนี้โครงสร้างภาษีสุรายังมีความลักลั่นอยู่ โดยเฉพาะสุราขาวมีราคาเริ่มต้นเพียงขวดละ110 บาท แต่ดีกรีความเมากับสูงมาก  

"รัฐบาลควรพิจารณาขึ้นภาษี กลุ่มสุราราคาถูก โดยเฉพาะสุราขาวให้แพงขึ้น เพื่อช่วยลดปริมาณการดื่มของคนมีรายได้น้อย เพราะทุกวันนี้สุราขาวมีดีกรีสูงสุด แต่กลับถูกเก็บภาษีต่ำสุด เรียกเก็บภาษีตามมูลค่าเพียง 2% ถูกกว่าเบียร์ที่เสียถึง 22% ,ไวน์ 10% ,สุราแช่ผลไม้ 10% ขณะที่ภาษีที่เก็บตามปริมาณแอลกอฮอล์ ก็ควรขึ้นเพราะปัจจุบันสุราขาว 40 ดีกรีเสียภาษีเพียงขวด 60 บาทถูกกว่าไวน์ที่เก็บขวด 150-200 บาท  ซึ่งราคาสุราขาว ที่เหมาะสมควรขายที่ 200-300 บาท"