นักวิชาการ ชี้ แบงก์รัฐช่วยเงินดิจิทัลได้ แต่มีความเสี่ยงที่ต้องแลก

28 ก.ย. 2566 | 18:56 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.ย. 2566 | 19:08 น.

นักวิชาการ TDRI เชื่อแบงก์รัฐ ช่วยหางบแจกเงินดิจิทัลได้ ไม่กระทบระบบระบบธุรกรรมกับลูกค้าเดิม เตือนรัฐบาล ระวังโดน Fitch Rating ลดระดับความน่าเชื่อถือ ด้าน ธ.ออมสิน เตรียมออก Social Bond ปัดนำเงินมาสมทบแจกเงินดิจิทัล

ภายหลังการประชุมหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital wallet ที่มี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน และมีรายงานว่า รัฐบาลได้เจรจาธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ อย่างธนาคารออมสิน ให้ช่วยสนับสนุนงบประมาณในการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยมีการกำหนดไว้ในมติคณะรัฐมนตรีชัดเจนว่าจะเริ่มจัดงบประมาณมาใช้หนี้ที่เกิดจากการดำเนินนโยบายดิจิทัล เริ่มใช้คืนจนหมดในกรอบระยะเวลาที่ตั้งไว้ ภายใน 3 ปี ก่อนรัฐบาลหมดวาระ

นอกจากนี้ ภายในการประชุมดังกล่าว ยังมีการถกกันถึงเรื่องแหล่งเงินนอกงบประมาณ ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ที่จะนำมาใช้ในโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้ามีการขยายเพดานจาก 32% เป็น 45% จริง ก็จะทำให้รัฐมีเงินเพิ่มขึ้น 494,000 ล้านบาทเพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการ ซึ่งก็ยังขาดอีกจำนวนหนึ่ง เชื่อว่าน่ารัฐบาลกำลังเร่งหาแนวทางและข้อสรุปให้เร็วที่สุด

 

ฝากแบงก์รัฐหาเงิน เสี่ยงโดนลด Credit Rating

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ถ้ารัฐบาลใช้เงินนอกงบประมาณกับงบประมาณที่ขอสนับสนุนจากธนาคารออมสิน ต้องดูว่าธนาคารจะนำเงินจากไหนมาสนับสนุนในส่วนนี้ ส่วนตัวมองว่าทำได้หลายทาง เช่น การหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการปรับหลักเกณฑ์ดำรงเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ , การกู้ยืมเงินระหว่างสถาบันการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือ การนำเงินคงคลังที่ได้จากการออกสลากออมสิน พันธบัตร และเงินฝากจากประชาชนมาใช้ ซึ่งไม่ว่าจะดำเนินการเช่นไร ธนาคารออมสินต้องไปหารือกับ ธปท. ก่อน

ทั้งนี้ การฝากภาระไว้ที่ธนาคารออมสิน แม้ระบบบัญชีของไทยจะทำได้ ไม่ถูกนับเป็นหนี้ต่อจีดีพี แต่ต่างชาติจะสามารถรับรู้ตัวเลขในส่วนนี้ได้จากการดำเนินบัญชี และถือว่าเป็นหนี้เช่นกัน มีความเสียงสูงที่ Fitch Raing จะลดระดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลง

“ถ้าไปดูฟิตช์ เรตติ้ง ก่อนโควิด19 ระบาด เขามองว่าไทยเรา Good credit มาดโดยตลอดเพราะมีหนี้เฉลี่ยเพียง 40% ต่อ GDP แต่ปัจจุบันหนี้ของไทยกำลังเข้าใกล้ประเทศกำลังพัฒนารายอื่น ๆ จึงถูกมองว่ามีความเสี่ยงอยู่ทุกเมื่อ ก็จะทำให้ในอนาคตถ้าเกิดวิกฤติขึ้น ไทยจะกู้เงินยาก หรือดอกเบี้ยแพงขึ้น เพราะ Country Risk ที่สูงขึ้น”

ออมสินปัด ออกบอนด์นำเงินสนับสนุนเงินดิจิทัล

ภายในการประชุมหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital wallet ได้มีการสอบถามนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ว่ามีสภาพคล่องมากเพียงพอหรือไม่ หากจะรัฐฯจะให้ช่วยนำเงินมาสนับสนุนโครงการเงินดิจิทัล ซึ่งคำตอบที่ได้คือ นายวิทัย ชี้แจงว่า “ธนาคารออมสินมีสภาพคล่องเหลือที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่รับภาระทั้งหมด 560,000 ล้านบาทไม่ไหว ต้องหาแหล่งเงินอื่นมาช่วยเสริมด้วย” ทำให้กลายเป็นประเด็นสำคัญและเป็นการบ้านใหญ่ที่ ธนาคารออมสิน ต้องกลับไปพิจารณา

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ ธนาคารออมสินเพิ่งสำรวจความคิดเห็นนักลงทุน (Survey) ถึงกรณีการการออกบอนด์เพื่อระดมทุนเพิ่มในช่วงต้นปี 2567 ในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ธนาคาร จะนำเงินส่วนนี้มาสนับสนุนโครงการแจกเงินดิจิทัล แต่ล่าสุด แหล่งข่าวจากธนาคารออมสินยืนยันว่า เป็นแค่เพียงการสำรวจความคิดเห็นนักลงทุนเท่านั้น ยังไม่มีประกาศว่าจะออกบอนด์อย่างจริงจัง ด้านนายวิทัย ยืนยันเช่นกันว่า การออกตราสารหนี้ในช่วงต้นปี 2567 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นการออก Social Bond เป็นการดำเนินงานตามแผนปกติของธนาคารที่ทำเป็นประจำทุกปี ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการระดมเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องสนับสนุนนโยบายเงินดิจิทัลอย่างแน่นอน

ความน่าเชื่อถือ Fitch Rating ขึ้นอยู่กับฐานะการคลัง

บริษัท Fitch Ratings ประกาศเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมองสถานะประเทศไทยแบบกลาง ๆ แต่ในปี 2567 คาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP) จะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ หลังจากการดำเนินนโยบายภาครัฐ แต่น่าจะยังอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Peers)

ทั้งนี้ ภาระหนี้ของรัฐบาลและฐานะการคลัง มีความสำคัญต่อการพิจารณาเพิ่มอันดับ หรือลดอันดับความน่าเชื่อถือ เพราะ Fitch จะปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย ก็ต่อเมื่อ การลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อจีดีพี (General Government Debt to GDP) การลดการขาดดุล ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีศักยภาพในระยะปานกลาง

ส่วนปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ Fitch มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ คือ การไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและส่งผลต่อการเติบโตหรือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

โดยล่าสุดไทยก็ถือว่ามีความเสี่ยง เพราะสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นแน่นอน สาเหตุสำคัญมาจากรัฐบาลมีการกู้เงินเพื่อมาสมทบ หรือ ปิดงบประมาณในแต่ละปี ในขณะที่รายได้ของรัฐบาลที่มาจากภาษีน้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งรัฐบาลต้องกู้เงิน ทำงบประมาณขาดดุลมายาวนานกว่า 10 ปี นำมาสู่การปรับขยายเพดานก่อหนี้เพิ่มเป็น 70% ต่อจีดีพี

ฐานะการคลังระยะยาวของไทยยังน่าเป็นห่วง

ดร.นณริฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่น่าตั้งคำถามคือการนำเงินจำนวน 5.6 แสนล้านบาทมาแจกนั้น จะกระทบสเถียรภาพระยะยาวทางการคลังมากน้อยเพียงใด เบื้องต้นจากการตรวจสอบ คาดว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 ไทยจะมีหนี้สาธารณะมียอดคงค้างอยู่ที่ 12.09 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.37% ของ GDP และจะเพิ่มขึ้นทะลุ 64.5% ต่อจีดีพีในปี 2570 แม้จะอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่กำหนดให้ก่อหนี้ได้ไม่เกิน 70% ของ GDP แต่คำถามคือมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ถ้าในช่วง 3 ปีนี้ ประเทศไทยยังไม่ประสบภาวะวิกฤติทั้งจากภายในและภายนอก ก็ถือว่ายังไม่น่าไม่น่ากังวลใจ เพราะหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทย ณ ขณะนี้มีความใกล้เคียงกับประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศ แต่ถ้าไทยพบกับวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) เหลือน้อยมาก ๆ

“เทียบง่าย ๆ ช่วงก่อนโควิด19 ไทยเรามีหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ราว ๆ 40% กว่า ๆ แต่เมื่อเจอวิกฤติครั้งใหญ่ทำให้ไทยต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อนำมาใช้พยุงเศรษฐกิจ และเพียงแค่กฤติครั้งเดียว ทำให้ไทยมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 60% กว่า ๆ ดังนั้น หนี้สาธารณะจึงควรเป็นตัวเลขที่ต้องทำให้อยู่ในระดับต่ำ ๆ เข้าไว้ เพื่อรองรับวิกฤติ มิเช่นนั้น พื้นที่การคลังของไทยจะน้อยเกินไป”