“สยามพิวรรธน์” ทุ่มงบ 1,000 ล้าน พร้อม 4 ยุทธศาสตร์พิชิตธุรกิจค้าปลีกอันดับ 1

13 ก.ย. 2566 | 14:30 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2566 | 22:09 น.

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ขานรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล เผย 4 ยุทธศาสตร์ใหญ่ ขับเคลื่อนธุรกิจไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 พร้อมดันนักท่องเที่ยวเพิ่มทะลุ 30 ล้านคน

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และ สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ประกาศยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนธุรกิจ ขานรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ผ่าน 4 ยุทธศาสตร์ย้ำจุดแข็งในการเป็นผู้สร้าง Global Destinations อันดับหนึ่งของประเทศไทย และเตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท อัดฉีดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวแตะ 30 ล้านคนในไตรมาส 4 ของปีนี้

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่า สยามพิวรรธน์ เป็นผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก(Global Destinations) ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายที่ครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน รวมถึงประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ด้วยรางวัลชนะเลิศหลากหลายเวที อีกทั้งยังเป็นผู้ครองฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทยตลอดมา


จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์มีถึง 14 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 46% จากปี 2565 โดยมียอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่ 8,500 บาท/คน/วัน และเมื่อมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเต็มที่แล้ว

 


สยามพิวรรธน์เชื่อมั่นว่า ภายในสิ้นปีนี้ประเทศไทยจะมียอดนักท่องเที่ยวถึง 30 ล้านคน 

 

โดยทางสยามพิวรรธน์พร้อมจะทุ่มทุนจัดกิจกรรมไตรมาสสุดท้ายในทุกศูนย์การค้า ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นแม่เหล็กให้ผู้คนทั่วโลกอยากมาเยี่ยมชม

 

 

สยามพิวรรธน์ เผย 4 ยุทธศาสตร์ในไตรมาส 4 ปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกและส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยว

4 ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนธุรกิจของสยามพิวรรธน์

1. ผู้นำการสร้างประสบการณ์ Shopping ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย

เสริมแกร่งผู้นำในตลาด Luxury Retail ด้วยการผนึกกำลังกับ Luxury Brand ร้านค้าผู้เช่า และพันธมิตรธุรกิจ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

โดยในไตรมาส 4 จะดำเนินการ

  • เตรียมเปิดร้าน Luxury Brands ใหม่เพิ่มเติมถึง 20 ร้านค้า ซึ่งหลายแบรนด์นับเป็นสาขาแรกในประเทศไทย
  • มีแผนจัด Pop-up store และงานอีเวนต์ระดับโลกร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ ไปจนถึงสิ้นปี 2567
  • เตรียมขยายพื้นที่กว่าเท่าตัวให้บรรดาลักชัวรีแบรนด์ทุกค่ายเป็น Iconic Store ที่ใหญ่ที่สุดในสยามพารากอน และไอคอนสยามในปีหน้า

 

2. ผู้นำการจัด World Class Event และ การประชุมนานาชาติ
สยามพิวรรธน์จะมีการทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(สสปน.) รวมถึงภาคเอกชนต่างๆ เพื่อดึงดูดนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก

ประกอบไปด้วย

  • การใช้พื้นที่รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และทรู ไอคอนฮอลล์ชั้น 7 ไอคอนสยาม เป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์มาตรฐานระดับโลกหรือการประชุมนานาชาติ 
  • การร่วมมือกับพันธมิตรใน Global Ecosystem ที่ประกอบด้วย พันธมิตรจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งสายการบิน ธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว และ ภัตตาคาร เพื่อรองรับการจัดงานหลากหลายรูปแบบ
  • การส่งเสริมธุรกิจ MICE และสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการจัดประชุมนานาชาติของ S/E Asia

ซึ่งในปีนี้ สยามพิวรรธน์ได้รองรับงานสำคัญรวมกันกว่า 40 งาน และมีการจองพื้นที่ในปี 2567 ไปแล้ว 70%

 

นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรระดับโลกที่จะมาร่วมลงทุนสร้างศูนย์ประชุมและการแสดงสินค้าแห่งใหม่ในเร็วๆ นี้ ซึ่งสำหรับในไตรมาส 4 ของปีนี้จะลงทุนจัดกิจกรรมระดับชาติครั้งยิ่งใหญ่ในทุกศูนย์การค้ารวมกันถึง 40 กิจกรรม ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท ประกอบกับจะมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ออกสื่อทั่วโลก

 

สยามพิวรรธน์มั่นใจจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต้องการมาชมและสนุกสนานร่วมกัน


3. ผู้นำในการส่งเสริมศิลปะไทย ยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก
สยามพิวรรธน์ได้บุกเบิกและเป็นผู้ประกอบการที่สนับสนุนศิลปินไทยมาตลอดเวลากว่า 15 ปี และเป็นรายแรกที่นำผลงานของศิลปินไทยมาจัดแสดงเป็น Public Arts ประจำในศูนย์การค้า รวมถึงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมความสามารถของศิลปินไทย และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ

 

สยามพิวรรธน์เตรียมเสนอแผนต่อรัฐบาล ยกระดับศิลปะไทย ไกลสู่ระดับโลก

สยามพิวรรธน์เตรียมการเสนอปั้นกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางของ S/E Asia ที่จะมีการจัดงานศิลปะระดับโลก เพื่อดึงดูดบุคคลในวงการศิลปะให้เข้ามาในประเทศไทย อาทิ งาน Art Basel และ Frieze เป็นต้น ซึ่งจะทำให้บรรดาศิลปินไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานร่วมกับศิลปินระดับโลก พร้อมเผยว่าจะร่วมทำงานกับภาครัฐในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ 

นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์มีนโยบายที่จะเปิดศูนย์ศิลปะริเวอร์มิวเซียม ชั้น 8 ไอคอนสยาม ในปี 2026 ด้วยพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร และทุ่มงบประมาณกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นมิวเซียมมาตรฐานโลกแห่งแรกของประเทศไทยที่สามารถรองรับงานศิลปะ Masterpiece ระดับโลกได้ทัดเทียมกับมิวเซียมชั้นนำในประเทศต่างๆ

ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะดึงดูดบุคคลสำคัญในวงการศิลปะและบรรดานักสะสมงานศิลปะจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทย นับว่าเป็นกลุ่มท่องเที่ยวคุณภาพสูงกลุ่มใหม่ที่จะต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีในระยะยาว 

 

4. ผู้นำในการปั้น Soft Power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่นำสุดยอดฝีมือในด้านต่างๆ ของไทย เพื่อนำเสนอ Soft Power ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น ดีไซเนอร์ และอื่นๆ

รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs และพ่อค้าแม่ค้าจาก 77 จังหวัด จำนวนกว่า 6,000 ราย มารวมตัวกันนำเสนออัตลักษณ์ไทยรูปแบบต่างๆ ผ่านเมืองสุขสยาม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่าวันละ 70,000 คน และเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากใน Social Media ทั่วโลก

นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยผ่านธุรกิจรีเทลของสยามพิวรรธน์ อันได้แก่ ICONCRAFT, ODS และ ECOTOPIA ก็สามารถขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศได้อีกด้วย ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์​พร้อมที่จะร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพันธมิตรระดับโลก เพื่อยกระดับ Soft Power ของคนไทยให้เป็นที่ชื่นชมบนเวทีโลกด้วยเช่นกัน

 

สยามพิวรรธน์พร้อมสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล

สยามพิวรรธ์พร้อมผสานพลังกับทุกภาคส่วน และพร้อมร่วมผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ เพื่อทำให้ประเทศไทยครองแชมป์จุดหมายปลายทางของโลก ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ที่จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และก่อให้เกิดการจ้างงานกับประชาชนจำนวนมาก

ซึ่งส่งผลกระทบครอบคลุมกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจ MICE และบริการที่จะได้ประโยชน์จากการมาเยือนของชาวต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน


สยามพิวรรธน์ทิ้งท้ายว่า จะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง พร้อมเตรียมอัดงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 นี้ และเตรียมจัดงบประมาณเพิ่มอีกเท่าตัวในปีหน้า เพื่อเดินเครื่องหนุนการท่องเที่ยวของไทยตามนโยบายของรัฐบาล

 


มั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

 

รวมถึงเป็นการสร้างปรากฏการณ์ และปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางแรกที่ต้องมาเยือน สำหรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทางจากทั่วโลก