นักวิชาการชี้ตั้งรัฐบาลล่าช้า ฉุดส่งออกไทยทั้งปีลบ2.5%

19 ก.ค. 2566 | 11:58 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ค. 2566 | 12:03 น.

นักวิชาการชี้ตั้งรัฐบาลไม่ได้ในเดือน ส.ค. ฉุดส่งออกปี 66 ติดลบ 2.5% แต่หากตั้งรัฐบาลได้ภายในส.ค.ดันส่งออกไทยติดลบลดลงเหลือ1.2%  กังวลครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน

นายอัทธ์ พิศาลวานิชผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่าวิเคราะห์ทิศทางการส่งออกไทยทั้งปี 2566 และครึ่งหลังของปี 2566 ภายใต้ปัจจัยเสี่ยง และปัจจัยที่ต้องติดตามต่างๆ

นายอัทธ์ พิศาลวานิชผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ


 โดยผลการวิเคราะห์แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้  กรณีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในเดือนส.ค. 66 คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปตลาดโลกในปี 66 จะมีมูลค่าเท่ากับ  283,738 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 282,038 ถึง 289,422 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือหดตัว -1.2 % โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง -1.8% ถึง 0.8%  สำหรับครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่าเท่ากับ  142,244 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 140,545 ถึง 147,928 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือขยายตัว 3.1% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 1.9% ถึง 7.2%)

นักวิชาการชี้ตั้งรัฐบาลล่าช้า ฉุดส่งออกไทยทั้งปีลบ2.5%

ส่วนกรณีที่ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในเดือนส.ค.66 คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปตลาดโลกในปี 2566 จะมีมูลค่าเท่ากับ  279,891 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 278,169 ถึง 281,614 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือหดตัว -2.5%

โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง -1.9% ถึง-3.1%
สำหรับครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่าเท่ากับ  138,398 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง 136,675 ถึง 140,120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือขยายตัว 0.3% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ระหว่าง -0.9% ถึง 1.6%)

สำหรับปัจจัยเสี่ยง และปัจจัยที่ต้องติดตามที่สำคัญมีดังนี้ เศรษฐกิจโลก และคู่ค้าสำคัญชะลอตัว   เศรษฐกิจจีนอาจโตไม่ถึง 5%  การเมืองที่ยังไม่ชัดเจนจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า  อัตราการว่างงานของประเทศคู่ค้าที่สูงขึ้น  ค่าเงินที่ผันผวนจากอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯที่ทรงตัวในระดับสูง และมีโอกาสปรับขึ้น

นักวิชาการชี้ตั้งรัฐบาลล่าช้า ฉุดส่งออกไทยทั้งปีลบ2.5%

วิกฤติเอลนีโญส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและ ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้นจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามเช่น ต้นทุนการผลิตที่สูง เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน และค่าจ้าง  Inflation หรือ Disinflation ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นและปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง  ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อและการลดการพึ่งพิงเงินสกุลดอลลาร์ (De-Dollarization)