นายวรรณชัย บุตรทองดี ผู้อำนวยการกองวิศวกรรม กรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ (Cruise) มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันประเทศไทย บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน มีท่าเรือสำราญที่สายการเดินเรือสำราญ สามารถเข้ามาแวะพักทางทะเลฝั่งอ่าวไทยตอนบน ได้เพียง 2 ท่า คือ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง
ขณะเดียวกันแต่ละท่ามีข้อจำกัด ปัญหา อุปสรรค ในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เพียงพอ และไม่สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความจำเป็น ในการให้บริการที่รวดเร็ว ทันสมัย ปลอดภัย และได้มาตรฐานระดับสากลดังนั้น เพื่อให้มีการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ และเป็นทางเลือกการท่องเที่ยวทางน้ำของการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ สู่มาตรฐานสากล รวมทั้งการสร้างรายได้ในการนำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ไทย
นายวรรณชัย กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกรมฯได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาการพัฒนาท่าเรือสำราญ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ประกอบด้วย บริษัท ซี สเปคตรัม จำกัด จำกัด, สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์, บริษัท เช้าท์สท์เอเชียเทคโนโลยี จำกัด และบริษัท ไพร้ชวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส เอฟ ศึกษาโครงการฯ
ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดเบื้องต้นทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และสิ่งแวดล้อม วงเงินศึกษา 68 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการศึกษาเมื่อต้นปี 2564 คาดดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จภายในปลายปี 2566
นายวรรณชัย กล่าวต่อว่า หลังจากศึกษาโครงการฯแล้วเสร็จ กรมฯจะเสนอต่อกระทรวงคมนาคม,สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบโครงการฯ ภายในปี 2566 ก่อนนำกลับมาดำเนินการัดทำการให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost สัญญาสัมปทาน 30 ปี ภายในปี 2567 และเริ่มเปิดประมูลภายในปี 2568 โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปี 2569 ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2572
ทั้งนี้โครงการฯ มีวงเงินรวม 7,412 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าลงทุนก่อสร้าง 5,934 ล้านบาท และค่าดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) 1,478 ล้านบาท โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนงานโครงสร้างพื้นฐานนอกชายฝั่งและบนชายฝั่ง ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือและอาคารผู้โดยสาร,สะพานเชื่อมท่าเรือ,ลานจอดรถ,จัดกรรมสิทธิ์ที่ดินถนนลอยฟ้า ฯลฯ จำนวน 5,534 ล้านบาท คิดเป็น 66%
ส่วนเอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ประกอบด้วย ระบบสาธารณูปโภค,อุปกรณ์ ฯลฯ จำนวน 1,877 ล้านบาท คิดเป็น 34%
นอกจากนี้จากการศึกษาฯ พบว่าโครงการฯ มีผลตอบแทนทางการเงิน ดังนี้ อัตราผลตอบแทนภายใน 20% โดยมีระยะเวลาคืนทุน 10 ปี มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ 177 ล้านบาท
สำหรับผลของการศึกษาทำเลที่ตั้งของท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ บริเวณอ่าวไทยตอนบน นั้น พบว่า ทำเลที่ตั้งที่ของโครงการ ควรมีการกำหนดจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังท่าเรือต้นทาง หรือท่าเรือแวะพักอื่นๆได้ รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้คราวละมากๆ และที่สำคัญ คือจำเป็นต้องมีความลึกท้องน้ำเพียงพอที่จะรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ได้ ซึ่งพบว่า บริเวณแหลมบาลีฮาย เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จะเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุด
ขณะเดียวกันจากการศึกษาประเภทของท่าเรือเพื่อรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) บริเวณอ่าวไทยตอนบน พบว่า ในการพัฒนาท่าเรือสำราญนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
(1) ท่าเรือต้นทาง
(2) ท่าเรือแวะพัก และ
(3) ท่าเรือผสม คือเป็นทั้งท่าเรือต้นทางและท่าเรือแวะพัก พบว่า ท่าเรือสำราญพัทยา เหมาะสมที่จะเป็นท่าเรือผสม (Hybrid) คือ เป็นทั้งท่าเรือต้นทาง (Home Port) และเป็นท่าเรือแวะพัก (Port of Call) สำหรับท่าเทียบเรือ สามารถรองรับเรือสำราญพร้อมกันได้ 2 ลำ จนถึงเรือสำราญขนาดใหญ่ เช่น Wonder of the Sea ได้
ส่วนภายในอาคารพักผู้โดยสาร ในกรณีที่เป็นท่าเรือต้นทาง (Home Port) สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 1,500 คน/ ชั่วโมง และในกรณีที่เป็นท่าเรือแวะพัก (Port of Call) สามารถรองรับผู้โดยสาร จำนวน 3,500 - 4,000 คน/ ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามโครงการนี้จะมีการพัฒนาที่จอดรถยนต์ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อทางบกไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร อยุธยา สมุทรปราการ และบริเวณรอบเมืองพัทยา รวมทั้งมีการพัฒนาที่จอดเรือโดยสาร และเรือเร็ว เพื่อเชื่อมต่อการท่องเที่ยวไปยังเกาะต่างๆ