“อาเซียน”เร่งอัปเกรด FTA เตรียมชง AEM ส.ค.นี้ 

05 มิ.ย. 2566 | 13:25 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มิ.ย. 2566 | 13:33 น.

“อาเซียน”เร่งเครื่องงานด้านเศรษฐกิจ เน้นใช้ดิจิทัลยกระดับการค้า พร้อมถก 6 คู่เจรจา ติดตามคืบหน้าอัปเกรด FTA เตรียมชง AEM ส.ค.นี้ 

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ฯเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (SEOM) ครั้งที่ 2/54 และการประชุมกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และแคนาดา เมื่ปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซียในการติดตามการดำเนินการตามแผนงานด้านเศรษฐกิจของอาเซียน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เสริมสร้างการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจและการค้าในภูมิภาค รวมทั้งเร่งรัดติดตามความคืบหน้าการเจรจายกระดับความตกลง FTA กับประเทศคู่เจรจาให้มีความทันสมัย และโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งผลการหารือจะนำไปสรุปเพื่อรายงานต่อที่ประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (AEM) ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้

ด้านนายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า  การติดตามแผนงานด้านเศรษฐกิจ ที่ประชุมเน้นการดำเนินงานที่จะต้องแล้วเสร็จในปีนี้  เช่น  การเจรจายกระดับความตกลง FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ โดยสรุปผลการเจรจาและลงนามให้ได้ในปีนี้ เพื่อขยายการค้าสินค้า การบริการและการลงทุนให้มากขึ้น และรองรับรูปแบบการค้าใหม่ๆ  การศึกษากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) เพื่อให้ผู้นำสามารถประกาศเริ่มต้นการเจรจาได้ในปีนี้

“อาเซียน”เร่งอัปเกรด FTA เตรียมชง AEM ส.ค.นี้ 

และ การหาข้อยุติการจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนการดำเนินการตามความตกลง RCEP โดยเร็ว รวมไปถึงเร่งรัดให้ประเทศสมาชิกเร่งกระบวนการภายในเพื่อให้สามารถลงนามความตกลงด้านเศรษฐกิจที่เจรจาเสร็จแล้ว อาทิ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียน ข้อตกลงการยอมรับร่วม (MRA) สำหรับผลิตภัณฑ์วัสดุอาคาร สิ่งก่อสร้าง

ความตกลงข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียน และเร่งเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA Upgrade) ให้มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรายงานต่อที่ประชุม AEM ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือน ส.ค.นี้

นอกจากนี้ อาเซียนได้ติดตามการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเสริมสร้างการอำนวยความสะดวกทางการค้า อาทิ การจัดทำระบบสืบค้นอัตราภาษีอาเซียนแบบใหม่ (New ASEAN Tariff Finder) จะช่วยค้นหาข้อมูลพิกัดศุลกากร อัตราภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษีให้ง่าย สะดวกและเป็นปัจจุบันมากขึ้น การพัฒนาระบบเชื่อมโยงหมายเลขทะเบียนทางธุรกิจของนิติบุคคลในอาเซียน (Unique Business Identification Number: UBIN) จะช่วยค้นหาข้อมูลนิติบุคคลที่จดทะเบียนในอาเซียน ซึ่งจะสร้างความมั่นใจในการทำธุรกิจภายในภูมิภาค และการผลักดันการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ารูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form D) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อนำไปสู่การค้าไร้กระดาษในภูมิภาค

“อาเซียน”เร่งอัปเกรด FTA เตรียมชง AEM ส.ค.นี้ 

“ที่ประชุมยังได้พบหารือกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และแคนาดา ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกของปีนี้ เพื่อผลักดันการดำเนินการภายใต้แผนงานทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้มากขึ้น โดยเน้นสาขาที่เป็นประเด็นการค้าใหม่ๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจหมุนเวียน แรงงาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและความยั่งยืนของอาเซียน สำหรับการประชุมกับจีน อินเดีย และเกาหลีใต้ ได้เร่งรัดติดตามการเจรจายกระดับความตกลง FTA ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และแคนาดา ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างกัน”

“อาเซียน”เร่งอัปเกรด FTA เตรียมชง AEM ส.ค.นี้ 

สำหรับอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ ได้ผลักดันการดำเนินการรวมกลุ่มของอาเซียน ภายใต้แนวคิดบทบาทอาเซียนที่มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการเจริญเติบโต (ASEAN Matters: Epicentrum of Growth) เน้นย้ำความสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งของภูมิภาค และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลก โดยอาเซียนมีเป้าหมายจะผลักดันการค้าระหว่างกันถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568

“อาเซียน”เร่งอัปเกรด FTA เตรียมชง AEM ส.ค.นี้ 

ทั้งนี้ ในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 124,890 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 71,890 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค. 2566) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 30,633.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 17,174.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 13,458.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์