NHH สกินแคร์ดังไต้หวันบุกไทย ชิงตลาดความงาม 8 หมื่นล้าน

06 เม.ย. 2566 | 16:59 น.
อัปเดตล่าสุด :06 เม.ย. 2566 | 16:59 น.

เคทู เมดิคอลเปิดตัว “NHH” แบรนด์สกินแคร์สัญชาติไต้หวันรุกตลาดความงามไทย เฟส 2 เตรียมอัด 200-300 ล้านบาท ร่วมทุน B&M ตั้งศูนย์ R&D วิจัยสารสกัดออแกนิกส์จากพืชไทย

ภาพรวมตลาดสกินแคร์ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีมูลค่าตลาดรวม 8.34 หมื่นล้านบาทเติบโต 7-8% ขณะเดียวกันยังมีการแข่งขันที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามจากผู้เล่นทั้งแบรนด์ในประเทศและเคาน์เตอร์แบรนด์จากต่างประเทศ

K2 Medical นำเข้า NHH ท็อปแบรนด์ไต้หวัน รุกตลาด “สกินแคร์”

โดยเทรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามในระยะหลังมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละช่วงของอายุ ส่งผลให้ 5 ปีที่ผ่านมาตลาดสกินแคร์ขยายขอบเขตมากขึ้น แต่ผู้นำตลาดยังคงเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์ต่างประเทศ และ Organic Brand

นายไมเคิล เย่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคทู เมดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผู้นำตลาดสกินแคร์และผลิตภัณฑ์ความงามในไทยยังคงเป็นแบรนด์นำเข้าจากจากอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นและเกาหลี ที่ผ่านมายังไม่มีแบรนด์จากไต้หวัน เข้ามาทำตลาดในไทย ทั้งๆที่ ไต้หวันเป็นผู้ผลิตและส่งออกสารสกัดไปยังเกาหลีและประเทศอื่นๆ บริษัทจึงเล็งเห็นว่ายังมีโอกาสอย่างมากที่แบรนด์ไต้หวันจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย

นายไมเคิล เย่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคทู เมดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด

ในปีนี้ บริษัท เคทู เมดิคอล (ประเทศไทย) จำกัด มีแผนเข้าสู่ตลาดสกินแคร์ในประเทศไทย โดยนำเข้าแบรนด์ NHH จากประเทศไต้หวันซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัด LONICA ผ่านบริษัทย่อย เคทู เอสธีติค เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ซึ่งได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยจาก บริษัท บี แอนด์ เอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ไบโอเทค จำกัด เบื้องต้นจะทำตลาดใน 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้แก่ Hyaluronic Acid Treatment Essence ,Hyaluronic Acid Treatment Cream, Hyaluronic Acid Treatment Lotion, Hyaluronic Acid Skin Renewal facial wash, Hyaluronic Acid Energy Toner, Hyaluronic Acid Herbpro Acne เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยรุ่น Y2K

“การมีผู้เล่นในตลาดจำนวนมากทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาการดูแลผิวเฉพาะบุคคลและไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็พร้อมเปิดใจรับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการดูแลผิวพรรณของตัวเองให้ดูดีที่สุด บริษัทจึงมองว่าเป็นความท้าทายมากกว่าเป็นอุปสรรค เพราะปัจจุบันสกินแคร์ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์นำเข้าจากอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่นและเกาหลี ดังนั้นการเปิดตลาดใหม่ภายใต้ผลิตภัณฑ์จากไต้หวัน จึงถือว่าเป็นโอกาสของบริษัทที่จะสร้างความแตกต่าง รวมถึงความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ผู้บริโภค”

 

ด้านนายพีท เชียช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 79 ยูนิ มายด์ จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ NHH กล่าวเสริมว่า ในปี 2566 นี้ บริษัทมีกลยุทธ์การดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1.การสร้างแบรนด์และนำนวัตกรรมที่สกัดโดยพืชธรรมชาติให้ลูกค้า โดยในไตรมาส 1และ ไตรมาส 2 จะเน้นการสร้างแบรนดิ้งให้คนรู้จักแบรนด์ NHH ทั้ง 6 ผลิตภัณฑ์

 

2.สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ โดยร่วมทุน Joint Venture กับบริษัท  บริษัท บี แอนด์ เอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ไบโอเทค จำกัด ผู้วิจัยและพัฒนาแบรนด์ NHH ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อเตรียมการย้ายฐษนการวิจัยจากประเทศไต้หวันมาที่ประเทศไทย เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ๆจากสารสกัดพืชไทย และผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางของเอเชียแปซิฟิกด้านผลิตภัณฑ์ความงามออร์แกนิค 100%  นอกจากการสร้าง branding ของตัวเองในอนาคตแล้ว บริษัทยังมองไปถึงการรับจ้างการผลิตด้วย

 

และ 3 ขยายสินค้าในช่องทางอื่นๆ โดยในช่วง 3 เดือนแรกเริ่มจำหน่ายผ่านช่องทางของ Online ของบริษัท Platform ต่างๆ รวมถึง Market place ต่างๆ และในช่วงไตรมาสที่ 4 จะขยายเข้าสู่ช่องทางรีเทลเบื้องต้งมองการขยายในห้างสรรพสินค้าของเครือเดอะมอลล์กรุ๊ปและ CPN ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ เป็นหลักประมาณ 10-20 แห่ง ในปีนี้ เพราะสร้างโมเดลค้าปลีกแบบ One Stop Service ทั้งการให้ข้อมูลสินค้าและการดูแลผิวหนัง ผิวหน้าและเส้นผมรวมทั้งรองรับ product ใหม่ๆที่จะนำเข้ามาในอนาคต  รวมทั้งเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมแบรนด์ A+PERDU และเปิดตลาดต่างประเทศโดยเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านเช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม อีกด้วย

นายพีท เชียช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 79 ยูนิ มายด์ จำกัด

"สินค้าของเราตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ใส่ใจสุขภาพ และความเป็นออร์แกนิกส์ทำให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กวัยรุ่น11-12 ปีขึ้นไปที่เริ่มดูแลผิวตัวเองไปจนถึงกลุ่มเอจจิ้ง ที่ต้องการผิวสดใสดูเต่งตึง โจทย์คือจะส่ง Message ไปถึงผู้บริโภคทั้งผ่านพรีเซ็นเตอร์และผู้ใช้จริง ในช่วงแรกจะเน้นการตลาดออนไลน์และให้ผู้ใช้จริงบอกต่อ เพื่อสร้างอแวร์ก่อนขยับขึ้นมาถึงเรื่องของยอดขาย

ในส่วนของการขยายเบื้องต้นจะเริ่มจากประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันเราก็มองถึงตลาดรอบบ้านไม่ว่าจะเป็นลาว เวียดนามและกัมพูชาเพราะหลักคิกออฟ โปรเจ็กต์นี้ไม่นานเริ่มมีพาร์ทเนอร์จากประเทศเพื่อนบ้านเริ่มสนใจ จึงเป็นโอกาสที่จะสามารถทำการตลาดควบคู่กันไปทั้งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในลักษณะ ดิสทริบิวเตอร์

สำหรับงบลงทุนปีนี้ประเมินคร่าวๆประมาณ 2-3 ร้อยล้านบาท เพราะการย้ายศูนย์R&D มาที่ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณมหาศาลทั้งในแง่ของไม้เครื่องมือและงบสำหรับการ Set up ในหลายๆส่วน และใช้สำหรับการทำการตลาดด้วย เราคาดว่าในปีนี้จะสามารถทำรายได้แตะ 9 ได้ไม่ยาก"