พาณิชย์ย้ำ "ซามาเนีย พลาซ่า"เป็นทุนไทยไม่ใช่ทุนจีน

07 มี.ค. 2566 | 16:32 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มี.ค. 2566 | 16:45 น.

พาณิชย์ย้ำชัดต่างชาติลงทุนไทย เน้นประโยชน์ผปก.ไทยและชาติเป็นหลัก ไม่เอื้อประโยชน์ให้ชาติหนึ่งชาติใดเป็นพิเศษ นักลงทุนจากทุกประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขการลงทุนที่กำหนดไว้ ชี้โครงการ ซามาเนีย พลาซ่าเป็นทุนไทย

นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ชี้แจงกรณีที่ทุนจีนเข้ามาเปิด โครงการซามาเนีย พลาซ่า ศูนย์ค้าปลีกค้าส่งและกระจายสินค้าราคาถูกเพื่อจำหน่ายสินค้านำเข้าจากจีนครบวงจร ซึ่งกำลังกลายเป็นข้อถกเถียงในแวดวงธุรกิจ หลังผู้นำเข้าสินค้าจากจีนยื่นขอให้มีการตรวจสอบและติดตามการดำเนินธุรกิจของกลุ่มซามาเนียว่าอาจไม่ชอบตามกฎหมาย เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับธุรกิจและเอกชนไทย พร้อมกับมองว่าเป็นปรากฏการณ์ถล่มตลาดที่มีผลมาจากนโยบายของรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุน e-commerce จากประเทศจีนหรือไม่

นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ขอชี้แจงว่า ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย จะพิจารณาโดยคำนึงถึงผลดีและผลเสียต่อความมั่นคงของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี

ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจที่อนุญาตจะเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ รวมถึง ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ธุรกิจบริการบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ การอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทยนั้น จะพิจารณาผลดี/ผลเสียของธุรกิจที่นักลงทุนจะเข้ามาประกอบกิจการที่มีต่อประเทศโดยรวมเป็นสำคัญ และไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นนักลงทุนจากประเทศใดเป็นการเฉพาะเจาะจง  

สำหรับ โครงการซามาเนีย พลาซ่าจากการตรวจสอบการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ พบว่า มีนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ซามาเนีย บางนา 02 จำกัด บริษัท ซามาเนีย บางนา จำกัด และบริษัท ซามาเนีย โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งทั้ง 3 บริษัทมีสถานะเป็นนิติบุคคลไทย โดยมีนายเฉือก ฟ้ง อ้อ ซึ่งมีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของนิติบุคคล 3 รายที่เกี่ยวข้องนั้นมีสัญชาติไทย โดยมีมารดาเป็นคนไทย บริษัททั้ง 3 รายดังกล่าวจึงไม่มีสถานะเป็นคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 

 “ขอย้ำว่า ในการพิจารณาให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนจะคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเป็นหลัก รวมถึง ผู้ประกอบการไทยต้องได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้ชาติหนึ่งชาติใดเป็นพิเศษ นักลงทุนจากทุกประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขการลงทุนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ จากข้อมูลการอนุญาตในปี 2565 ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และจีนและกรมฯ มีการส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศโดยไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติต่อนักลงทุนชาติหนึ่งชาติใดเป็นการเฉพาะ แต่จะเน้นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติและผู้ประกอบการไทยเป็นสำคัญ”